สังคม
“บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้าฟ้องเอาผิดผู้บริหารศาลปกครองสูงสุด ปมคลิปฉาวแทรกแซงคดี
23 ก.ย. 2568
210 views
“บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้าฟ้องศาลอาญาทุจริต เอาผิดผู้บริหารศาลปกครองสูงสุด ปมคลิปฉาวแทรกแซงคดี ลั่นไม่หวังตำแหน่งคืน แต่ขอความยุติธรรม
เมื่อเวลา 15.00 น.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายังศาลปกครองสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือเพิ่มเติมถึงนายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด ตามกระบวนการขั้นตอนร้องเรียนขอความเป็นธรรม เนื่องจากตนเองไม่รับความเป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาคดีของตุลาการบางคนในศาลปกครอง หลังจากเคยยื่นร้องเรียนมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าตนเองเคารพและเชื่อมั่นในศาลปกครองส่วนใหญ่ที่ยังมีคุณธรรมและหลักการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน แต่ติดขัดตรงที่ประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการอาวุโสประมาณ 2 คนที่มีสภาพไม่เป็นกลางและมีอคติในการไต่สวนคดีของตนเอง ด้วยการพยายามที่จะล้มคดีของตนเองผ่านการรื้อมติขององค์คณะชุดเดิมและจะส่งคดีตนเองไปพิจารณาใหม่ในองค์คณะใหญ่ ตามที่ปรากฏจากกรณีคลิปเสียงพยายามสั่งการแทรกแซงคดี ซึ่งเคยร้องเรียนกับประธานศาลปกครองสูงสุดมาแล้วก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังทราบมาว่า ตุลาการอาวุโสอีก 2 คนนั้น คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่เคยเรียนหลักสูตรเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญด้วยกันกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ถือว่าเป็นคู่กรณีที่ตนเองยื่นฟ้อง ซึ่งภายหลังจากที่ตนมาร้องเรียนกับประธานศาลปกครองสูงสุด ตุลาการรายดังกล่าวก็ได้ถอนตัวออกจากองค์คณะใหญ่ไป ซึ่งตนเองก็ตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อไม่มีสภาพความเป็นกลางตั้งแต่แรก แล้วมานั่งอยู่ในองค์คณะได้อย่างไร
ส่วนตุลาการอาวุโสอีกคนหนึ่งนั้น ตนเองก็ทราบว่า มีตำแหน่งเป็นถึงระดับประธานแผนกคดีและเป็นเพื่อนจบหลักสูตรอบรมรุ่นเดียวกันกับประธานศาลปกครองสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นคนสนิท โดยได้รับคำสั่งให้มาดูคดีของตนเอง แต่มีหลักฐานว่า ตุลาการอาวุโสท่านนี้พูดว่า “ฉันเกลียดไอ้โจ๊กมัน” จึงถือว่าตุลาการท่านนี้มีอคติปราศจากความเป็นกลาง ไม่ทราบพูดออกมาได้ยังไงกับคำพูดแบบนี้ถ้าไม่มีใบสั่งลงมา แล้วเปรียบเสมือนเป็นการให้คนสนิทมาช่วยล้มคดีตนเอง
และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งข้อสงสัยว่า คดีของนายตำรวจระดับสูงก่อนหน้านี้ ไม่เคยถูกนำเข้าองค์คณะใหญ่มาก่อน มีแต่คดีที่ตนฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติที้ถูกส่งเข้าองค์คณะใหญ่ ซึ่งรับทราบและเข้าใจดีว่า ประธานศาลปกครองสูงสุดมีอำนาจนำคดีเข้าองค์คณะใหญ่ ตามที่สำนักงานศาลปกครองออกใบแถลงข่าว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลือกคดีของตนเอง ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ หรือเพียงต้องการที่จะล้มคดี
ด้วยเหตุนี้ ตนจึงต้องมาร้องเรียนต่อประธานศาลปกครองสูงสุดให้ครบกระบวนการ แล้วภายในวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ตนจะนำพยานหลักฐานทั้งหมดยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารระดับสูงของศาลปกครองอย่างน้อย 2 คน ในเรื่องของละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตมิชอบ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ศาลปกครองกำลังถูกคนบางกลุ่มเพียงไม่กี่คนที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนฝากความหวังและศรัทธาพังทลาย โดยพฤติกรรมของประธานศาลปกครองสูงสุด รวมทั้งตุลาการอาวุโสที่ตนกล่าวถึงนั้น ขัดต่อมาตรา 188 ของรัฐธรรมนูญที่วางหลักว่า การพิจารณาคดีของผู้พิพากษาและตุลาการต้องอิสระ เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง ตนจึงต้องการดำเนินคดีนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้พี่น้องประชาชนได้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรม
เชื่อว่าสาเหตุที่พวกเขากล้าที่จะกระทำเช่นนี้ได้ อาจจะต้องมีใบสั่งลงมา หากเป็นเหตุผลส่วนตัวที่ตนเองเคยปฏิเสธประธานศาลปกครองสูงสุดในการโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามที่ร้องขอเอาไว้นั้น ก็ยิ่งไม่เป็นธรรม หากท่านนำเรื่องดังกล่าวมาโกรธตนเองเป็นการส่วนตัวและมาเล่นงานตน เพราะต้องเข้าใจว่าตามกฎหมายตำรวจ การร้องขอเสนอผลประโยชน์เพื่อโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์นั้น มีความผิดตามกฎหมายถึงขั้นจำคุกและตนเองไม่ใช่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงไม่มีอำนาจหน้าที่เรื่องนี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมองว่า ท่านที่เป็นตุลาการต้องหยุดกระทำพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม และมองว่าเพื่อความโปร่งใส ประธานศาลปกครองสูงสุดก็ควรจะต้องออกมาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริง ไม่ใช่เลือกที่จะนิ่งเงียบแบบนี้ และหากเป็นไปได้ ประธานศาลปกครองก็ควรจะต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อพฤติกรรมที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังยืนยันว่า ไม่ได้มีความหวังในเรื่องของตำแหน่งข้าราชการตำรวจว่าจะได้กลับมาหรือไม่ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ที่ตนยังคงต่อสู้ก็เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายนั้นเป็นธรรมจริง ๆ และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ไม่ใช่จะมีการกลั่นแกล้งแบบนี้ ซึ่งตนเองก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาก็เจอมรสุมหลายด้าน ทั้งกรณี ป.ป.ช. ที่ล่าสุดได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. 5 คน ที่รับเรื่องไว้พิจารณาโดยไม่ผ่านมติ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่เรื่องดังกล่าวมีมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องเอาไว้แล้ว
รวมทั้งกรณีที่กล่าวหาว่าตนเองลอกข้อสอบมหาวิทยาลัย ซึ่งสุดท้ายเรื่องดังกล่าวก็โอละพ่อและไม่มีหลักฐานเชื่อมมาถึงตนเอง และการกล่าวหาว่าภรรยาไปลักทรัพย์ทั้งที่ไม่มีมูลหลักฐานใดๆ โดยเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีใบสั่งให้กลั่นแกล้งตนเอง แต่สุดท้ายคงจะไม่กลับไปเอาคืนใคร เพราะกระบวนการลงโทษมีอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามหลักฐาน ใครกระทำความผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด
แท็กที่เกี่ยวข้อง บิ๊กโจ๊ก ,ผู้บริหารศาลปกครองสูงสุด ,คลิปฉาวแทรกแซงคดี