สังคม

ศาลรับคำร้อง กลุ่มประมงฟ้องเอาผิดบริษัทเอกชน คดี 'ปลาหมอคางดำ' ระบาด เรียกค่าเสียหาย 2.4 พันล้าน

โดย petchpawee_k

6 ก.ย. 2567

71 views

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลปกครองกลางก็ได้รับฟ้องคดีปลาหมอคางดำ แพร่ระบาดเรียบร้อยแล้ว หลังสภาทนายความนำตัวแทนชาวประมงไปยื่นฟ้องด้วยตนเอง เรียกสินไหมกว่า 2,400 ล้านบาท กรณีบริษัทเอกชนปล่อยปลาหมอคางดำ มาทำลายระบบนิเวศเสียหาย 

วานนี้ (5 ก.ย.) นายปัญญา โตกทอง พร้อมชาวบ้านกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมงพื้นบ้าน ในเขตอําเภออัมพวา อําเภอบางคนที และอําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ที่เป็นตัวแทนชาวบ้าน กว่า 1,400 คน ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำ เดินทางมายังศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พร้อมกับทนายจากสภาทนายความฯ เพื่อยื่นฟ้องบริษัทเอกชนผู้ก่อมลพิษ และกรรมการบริหารรวม 9 คน ในคดีสิ่งแวดล้อม


โดยนายปัญญา บอกว่า พวกตนได้รับผลกระทบ และถูกละเมิดสิทธิ์มานาน อากนปนะกอบอาชีพย่ำแย่ ขาดรายได้ มีหนี้สิน เพราะสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยง ทั้ง ปลา กุ้ง ไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ซึ่งตอนนี้ในบ่อที่เลี้ยงมีแต่ปลาหมอคางดำ และตั้งแต่ที่ตนเองและกลุ่มสมาชิก พบปลาหมอคางดำตั้งแต่ปี 2555 แต่ที่รุนแรงช่วงปี 2559-2560 ซึ่งตนเองและกลุ่มสมาชิกก็ได้ ไปร้องเรียนมาหลายที่แล้ว ทั้งนายกรัฐมนตรี กรรมการสิทธิมนุษยชน ก็แล้วก็ยังไม่มีการดำเนินการอะไร จากตอนแรกแค่ในจังหวัดตนเอง แต่ตอนนี่แพร่ไปในหลายจังหวัดทั่งประเทศแล้ว รวมถึงรัฐก็ไม่ได้เข้ามาดูแลเยียวยาพวกตน และในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มาร้องศาลแพ่งให้ช่วยเหลือในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทเอกชนผู้ก่อมลพิษ


ซึ่งขั้นตอนการดำเนินคดีจะเป็นการฟ้องคดีแบบกลุ่ม เรียกค่าสินไหมทดแทนจากการ ขาดรายได้ในอาชีพประมงเพาะเลี้ยงและประมงพื้นบ้าน และจากการถูกละเมิดสิทธิในการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมทั้งมีคําขอบังคับให้บริษัทเอกชนผู้ก่อมลพิษ แก้ไขฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไปให้กลับสู่สภาพเดิม


สำหรับจํานวนค่าสินไหมทดแทนที่กลุ่มประมงเรียกร้อง แยกออกเป็น 2 กลุ่ม


1. กลุ่มประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ตามจํานวนพื้นที่ที่เพาะเลี้ยงในอัตราไร่ละ 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2560 – 2567) และค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิ์การใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรอีกรายละ 50,000 บาท โดยกลุ่มประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีจํานวนสมาชิกกว่า1,000 ราย มีพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํารวมกันกว่า 27,000 ไร่ ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้องเป็นเงินกว่า 1,982,000,000 บาท


2.กลุ่มประมงพื้นบ้าน เรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ตามจํานวนวันในอัตราวันละ 500 บาท (ปีละ 182,500 บาท) เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2560 – 2567) และค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรอีกรายละ 50,000 บาท โดยกลุ่มประมงพื้นบ้านมีจํานวนสมาชิกกว่า 380 ราย ค่าสินไหมทดแทนที่ เรียกร้องเป็นเงินกว่า 19,000,000 บาท / รวมเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนที่ในเขตจังหวัดสมุทรสงครามเป็นเงินกว่า 2,486,450,000 บาท


ต่อมาว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน ประธานอนุกรรมการฝ่ายคดี สภาทนายความ ระบุว่า ภายหลังไปทำเรื่องฟ้องว่า ศาลนัดไต่สวนคำร้องอีกครั้งหนึ่งคือวันที่ 4 พฤศจิกายน เวลา 9:00 น. เป็นการรับไต่สวนคำร้อง ในการฟ้องคดีแบบกลุ่มซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยจะสามารถคัดค้าน และในการไต่สวนคำร้องคดีแบบกลุ่มนั้น เราจะต้องแสดงให้เห็นว่า สมาชิกกลุ่ม มีขอบเขตอย่างไรให้ชัดเจนในกรณีที่จะ เลือกใช้ขอบเขต ของจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยจะใช้จ.สมุทรสงครามเป็นขอบเขตในจังหวัดแรก และใช้อาชีพของชาวประมง ทั้งประมงพื้นบ้านและประมงเพาะเลี้ยง โดยในจ.สมุทรสงครามมีสมาชิก ที่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและประมงเพาะเลี้ยงทั้งสิ้น 1,400 คน และเวลาในการไต่สวนจะต้องทำให้เห็นว่าสมาชิกแต่ละคนมีความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันอย่างไร


เมื่อถามถึงแนวทางการต่อสู้คดี ว่าที่ร้อยตรีสมชาย เปิดเผยว่า เรามีหลักฐานที่ค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถที่จะ เอาผิดผู้ประกอบการ และมีหลักฐานที่บอกว่าใครเป็นผู้นำเข้ามาและเพาะเลี้ยงเป็นที่แรก ทั้งยังมีความเชื่อมโยง จากกรณีที่ก่อนหน้าประเทศไทยไม่เคยมีปลาหมอคางดำมาก่อน ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ โดยในเบื้องต้นตนมั่นใจ ว่าหลักฐานเหล่านี้สามารถพิสูจน์คดีความรับผิดทางแพ่งได้

ส่วนของการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนว่าที่ร้อยตรีสมชาย เปิดเผยว่า เราจะเรียกร้องค่าสินไหม ในส่วนที่ประชาชน ค้างขาดรายได้ของกลุ่มพี่น้องชาวประมงซึ่งเดิมก่อนมีการแพร่ระบาดสามารถทำรายได้ได้แต่หลังมีการแพร่ระบาดทำให้รายได้ของพวกเขาลดลง และจะมีการฟ้องค่าละเมิดสิทธิ์ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพราะชาวบ้านไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพื้นที่ของตนแต่ละจุดได้แบบเดิมเนื่องจากมีการระบาดของปลาหมอคางนำ ซึ่งเป็นการทำลายระบบนิเวศเดิมที่เคยมีอยู่


ส่วนอีกจุดที่ศาลปกครอง นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกสภาทนายความฯ พร้อมกลุ่มประมงจังหวัดสมุทรสาคร ไปยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อศาลปกครองกลาง รวมทั้งหมด 18 ราย เรียกร้องบริษัทเอกชนนำเข้าปลาหมอคางดำ ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐ อาทิ กรมประมง ,อธิบดีกรมประมง ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,รัฐมนตรีฯกระทรวงทรัพย์ฯ ,รัฐมนตรีฯมหาดไทย รวมถึงกระทรวงการคลัง


ซึ่งนายสัญญาภัชระ กล่าวว่า หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจตามกฎหมายหลายฉบับ ทั้งรัฐธรรมนูญ ปี 2550 พรบ.ประมง , พรบ.สิ่งแวดล้อม รวมถึง พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยขอให้ศาล พิพากษาให้ทั้ง 18 ราย ร่วมกันใช้อำนาจกำหนดมาตรการและประเมินความเสียหาย เพื่อไปเรียกร้องบริษัทเอกชนนำเข้าปลาหมอคางดำ รับผิดชอบค่าเสียหายที่รัฐเสียไปตามจริง ในการใช้ควบคุมการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/NmJEaxOZ8s0

คุณอาจสนใจ