สังคม

แก๊งคอลฯ สั่งการจากเมียนมา หลอก นศ.อ้างเอี่ยวฟอกเงิน จะช่วยให้พ้นคดี สั่งคอลหาแม่ขอเงิน 2 ล้าน

โดย nattachat_c

14 ส.ค. 2566

61 views

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้วิธีหลอกแบบใหม่อ้างตัวเองเป็น ไปรษณีย์ไทย, เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปง. แจ้งผู้เสียหายว่า พบสมุดบัญชีของผู้เสียหายในกล่องพัสดุที่ถูกอายัดมีความเกี่ยวข้องและพัวพันกับขบวนการฟอกเงิน กำลังสืบทำการสืบสวนเป็นคดีลับ และแจ้งให้ผู้เสียหายไปเปิดห้องพักเก็บตัวอยู่คนเดียว ห้ามติดต่อกับบุคคลอื่นเพื่อความปลอดภัย คอยสั่งการควบคุมโดยวิดีโอคอลคุยกับผู้เสียหายตลอดเวลา


แก๊งนี้ให้ผู้เสียหายทำตามคำสั่งไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี และออกอุบายให้ผู้เสียหายถ่ายคลิปวีดิโอตนเองที่มีลักษณะเหมือนโดนเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายอีกทีมคอยติดต่อกับแม่ของผู้เสียหายหลอกว่าผู้เสียหายถูกจับเรียกค่าไถ่ โดยให้แม่ของผู้เสียหายโอนเงินมาเพื่อให้ผู้เสียหายปลอดภัย ยอดเงินจำนวน 2 ล้านบาท  พบว่าคนร้ายทั้งหมดสั่งการอยู่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์


โดยแผนประทุษกรรมของคนร้าย พบว่าเมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 เวลาประมาณ 09.00 น. คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หาผู้เสียหาย นางสาว ก. (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ย่านบางเขน กรุงเทพฯ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย สาขาสงขลา แจ้งว่าพบสมุดบัญชีของผู้เสียหายในกล่องพัสดุที่ถูกอายัด เนื่องจากพัสดุดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับขบวนการฟอกเงิน คนร้ายแจ้งว่าภายในกล่องพัสดุมีพาสปอร์ตของชาวเมียนมาร์ 12 เล่ม ,บัตร ATM 9 ใบ ,สมุดบัญชี 8 เล่ม และมีสมุดบัญชี 1 เล่ม ปรากฏชื่อของผู้เสียหาย


ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกถามเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่า ตรงกับสมุดบัญชีในกล่องพัสดุดังกล่าวหรือไม่ และได้แนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งตำรวจ สภ.เมืองสงขลา โดยคนร้ายที่อ้างตัวเป็นไปรษณีย์ไทย อาสาประสานติดต่อตำรวจให้เพื่อแจ้งความ


ต่อมาคนร้ายได้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา และได้สอบถามกับผู้เสียหายว่าช่วงนี้มียอดเงินแปลก ๆ เข้ามายังบัญชีของผู้เสียหายไหม ผู้เสียหายจึงตรวจสอบบัญชีดูพบว่ามียอดการโอนเงินเข้ามาในบัญชีของผู้เสียหายจริงประมาณ 13,000 บาท เวลาประมาณ 02.00 น. ของวันที่ 7 ส.ค.66 จึงได้แจ้งกับคนร้ายว่า มียอดเงินแปลก ๆ โอนเข้ามาจริง


จากนั้น คนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงิน และคนร้ายได้แจ้งผู้เสียหายให้ติดต่อกันโดยผ่าน LINE โดยใช้ชื่อ “สภ.เมืองสงขลา” เพื่อวีดิโอคอล โดยคนร้ายได้อ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองสงขลา และแต่งกายในชุดเครื่องแบบตำรวจ และได้ส่งเอกสารราชการปลอม ซึ่งระบุชื่อเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหาย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เพื่อที่จะให้ผู้เสียโอนเงินเข้าบัญชีคนร้ายเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินทั้งหมดในบัญชีรวมถึงยอด 13,000 บาท ไปให้กับคนร้าย


ต่อมา คนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนคดีนี้ซึ่งเป็นคดีลับ จึงขอให้เก็บเป็นความลับห้ามไม่ให้ผู้อื่นทราบ และได้สอบถามว่าตัวผู้เสียหายอยู่ที่ไหน  ผู้เสียหายแจ้งว่าอยู่ที่หอบริเวณมหาลัย  คนร้ายจึงขอให้ผู้เสียหายไปเก็บตัวอยู่คนเดียวและให้ปิดการแจ้งเตือนภายในโทรศัพท์ทั้งหมด ให้ย้ายสถานที่ไปโรงแรมใกล้มหาลัย แต่เนื่องจากบริเวณมหาลัยไม่มีโรงแรม คนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายไปยังฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ให้ไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่


โดยคนร้ายแนะนำให้ผู้เสียหายไปเช่าห้องพักแถวรังสิต ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่าบริเวณรีสอร์ทดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อถึงที่พักคนร้ายให้ผู้เสียหายเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ เพื่อที่จะไม่ให้มีผู้ใดสามารถติดต่อผู้เสียหายได้ และได้แจ้งให้ผู้เสียหายสมัคร LINE ใหม่ผ่าน IPAD และให้ผู้เสียหายแอด LINE ชื่อ “หน่วยงาน ปปง.พิเศษ” และได้วิดีโอคอลกับคนร้ายที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ปปง.พิเศษ


ต่อมาคนร้ายได้แจ้งให้ผู้เสียหายลบแอปพลิเคชั่นที่สามารถติดต่อกับผู้อื่น ทั้งภายในโทรศัพท์มือถือและ IPAD อย่าง LINE, Facebook, Instragram และ Messenger โดยให้เหลือไว้เฉพาะแอปพลิเคชั่น LINE ใน IPAD ไว้แอปเดียว และให้เปิดวีดิโอคอล LINE ใน IPAD คุยกับคนร้ายที่อ้างเป็นหน่วยงาน ปปง.พิเศษ ตลอดเวลา ซึ่งคนร้ายได้คอยเฝ้าดูและควบคุมการกระทำทุกอย่างของผู้เสียหายผ่านวีดิโอคอล และได้หลอกส่ง QR CODE LOGIN LINE มาให้ผู้เสียหายสแกนเพื่อเข้า LINE อันเดิมของผู้เสียหาย ทำให้คนร้ายสามารถควบคุม LINE อันเดิมของผู้เสียหายได้สำเร็จ


ซึ่งระหว่างที่อยู่ภายในห้องพัก คนร้ายได้สอบถามว่าที่บ้านประกอบธุรกิจอะไร  ผู้เสียหายได้บอกข้อมูล ชื่อ-สกุล เบอร์โทรของพ่อแม่  ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าในคดีนี้จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันประมาณ 200,000 บาท จึงถามผู้เสียหายว่าจะขอยืมเงินจากใครได้บ้าง และให้ผู้เสียหายทดลองขอยืมเงินโดยให้ผู้เสียหายโทรหาเพื่อนและแม่ของผู้เสียหายเพื่อขอยืมเงิน


ระหว่างที่ผู้เสียหายโทรไปหาแม่และเพื่อนของผู้เสียหาย ซึ่งคนร้ายได้เฝ้าดูผู้เสียหายผ่านวิดีโอคอลขณะผู้เสียหายกำลังคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา จากนั้นคนร้ายออกอุบายที่จะช่วยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ในการประกันให้กับผู้เสียหายโดยบอกให้ผู้เสียหายทำตามไปซื้อเทปกาว กรรไกร เพื่อนำมาถ่ายคลิปโดยมัดมือมัดเท้าตนเองส่งให้กับคนร้าย โดยแจ้งว่าคลิปดังกล่าวจะเป็นความลับไม่มีการเผยแพร่อย่างแน่นอน


เนื่องด้วยความกลัวที่คนร้ายข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี และความอยากกลับบ้าน ผู้เสียหายจึงยอมทำตาม โดยต่อมาคนร้ายได้ติดต่อและส่งคลิปดังกล่าวให้กับแม่ของผู้เสียหาย ด้วย LINE อันเก่าของผู้เสียหายที่คนร้ายหลอกให้ SCAN QR CODE และได้โทรผ่าน LINE ติดต่อแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งคนร้ายได้ส่งบทให้ผู้เสียหายพูดตามว่า “หนูไม่สำคัญกับแม่เลยใช่ไหมค่ะ หนูไม่มีค่าสำหรับแม่เลยใช่ไหม ถ้าแม่ไม่ช่วยหนู หนูคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้วนะ”


จึงทำให้แม่เชื่อว่าผู้เสียหายอยู่กับคนร้าย และตกอยู่ในอันตราย โดยคนร้ายขู่ว่าผู้เสียหายจะเป็นอันตราย ถ้าแม่ของผู้เสียหายไม่โอนเงิน จำนวน 2 ล้านบาท เข้าบัญชีของผู้เสียหาย หลังจากคนร้ายส่งภาพที่ผู้เสียหายโดนมัดมือมัดเท้าให้แม่ของเหยื่อดูผ่านไลน์แล้วก็ลบภาพยกเลิกข้อความ ต่อมาแม่ของผู้เสียหาย ได้แจ้งขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT 1


ทั้งนี้มีคลิปเสียงที่ผู้เสียหายได้โทรมาหาแม่ว่า “แม่โอนเงินให้เขาก่อนได้มั้ยหนูอยากกลับบ้าน” แม่ถามย้ำ “2 ล้านเลยเหรอ”  ผู้เสียหายนิ่งเงียบแล้วพูดว่า “ใช่ ๆ” /ระหว่างนั้นแม่ผู้เสียหายถามคนร้าย ที่คอยสั่งการเหยื่อผ่านวิดีโอคอล  ว่า “โอนได้นี่คุณจะส่งลูกเราคืนมั้ย”/ คนร้ายบอก “ส่งคืนแน่นอนครับ ส่งคืนแน่ ๆ ผมให้คำมั่นสัญญา”


ในคลิปแม่ผู้เสียหายถามคนร้าย “นัดเจอกันได้มั้ย ”/คนร้ายบอก“ นัดเจอไม่ได้ เราสามารถโอนได้ครั้งเท่าไหร่ต้องปรับยอดวงเงินก่อน” จากนั้นสายตัดไป/คนร้ายยังบอกให้แม่ผู้เสียหายส่งหน้าบัญชีไปให้ดูผ่านไลน์ของลูกสาวหรือคนร้ายก็ได้ เพื่อต้องการดูว่ามียอดเงินในบัญชี 2 หมื่นบาท ตามที่แม่ของผู้เสียหายบอกจริงหรือไม่


นอกจากนี้ มีข้อความแชทไลน์ที่คนร้ายทักมาหาแม่ของผู้เสียหาย “สวัสดีครับ/อย่าพยายามติดต่อคนอื่น/ ไม่ต้องโทรหาลุกคุณ/มีอะไรติดต่อมาทางนี้/อย่าเล่นตุกติกผมแค่ต้องการเงินผมคืนเท่านั้น/ผมเตือนแล้วนะ/ถ้าพยายามยังติดต่อคนอื่นอีกผมจะไม่เตือน”// แม่ผู้เสียหายตอบกลับ “ขอคุยกับลูกได้ไหม”//จากนั้นมีการโทรคุยกันผ่านไลน์ เวลา 21.05 น./โดยคนร้ายทักแชตมาอีก “คุณมาต่อลองคุณมีสิทธิ์อะไร/ผมให้คุณทำอะไรควรทำแค่นั้น/อย่าพยายามติดต่อใครอีก/เที่ยงคืนตามที่ตกลงไว้ 5 แสน ก่อน แค่นี้”


พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1 เผยว่า จากการสืบสวนทราบว่าผู้เสียหายเข้าพักอยู่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบ รีสอร์ทดังกล่าว เข้าตรวจสอบพบว่าผู้เสียหาย อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว โดยคนร้ายรีบตัดสายสนทนาทิ้งทันที จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายทั้งหมดได้กระทำความผิดอยู่ที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ โดยใช้การโทรศัพท์และควบคุมเหยื่อด้วยการวิดีโอคอล


พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบการกระทำผิดข้างต้นเป็นแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์  โดยใช้วิธีการแยกหลอกเหยื่อและผู้ปกครองของเหยื่อ โดยอ้างใช้การเรียกค่าไถ่และข่มขู่จะทำอันตรายเหยื่อ เพื่อให้ผู้ปกครองยอมโอนเงินทั้งหมดให้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเพื่อออกปฏิบัติการเนื่องจากผู้ปกครองเป็นห่วงความปลอดภัย เข้าใจว่าเป็นเรื่องเรียกค่าไถ่จริง จนตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

----------
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า 


ในปัจจุบัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ใช้เอไอ ในการทำเสียงปลอมเพื่อหลอกตอนโทรหาญาติของผู้เสียหาย
----------



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/biv3Co4Qb7M

คุณอาจสนใจ

Related News