ต่างประเทศ
ส่อง “สาระ - วาทะ” ดีเบตชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก ใครเก็บแต้ม ใครเสียแต้ม
โดย nicharee_m
4 ก.ค. 2567
81 views
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการ “ดีเบต” หรือการประชันวิสัยทัศน์ ครั้งแรกของคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดย เป็นคู่แข่งคู่เดิมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพียงแต่สลับตำแหน่งกันเท่านั้น
คราวนี้ “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต มาในฐานะประธานาธิบดีที่กำลังจะป้องกันตำแหน่ง และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่คราวนี้มาในนามคู่ท้าชิง
โดยการดีเบตครั้งนี้จัดขึ้นโดย CNN ที่ว่ากันว่าเป็นคู่ปรับของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เราจึงพามาส่องนโยบายต่างๆ ที่มีการพูดถึงในครั้งนี้ มีสาระอะไรบ้าง ไปดูกัน
1.เศรษฐกิจ
ด้วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจจะไม่ค่อยดีนัก “ไบเดน” จึงมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวย และเสนอที่จะลดหนี้สินของประเทศที่เกิดจากการบริหารของ “ทรัมป์” แล้วเอามาใช้กับสังคมมากขึ้น ลดอัตราการว่างงาน และผลักดันนโยบายประกันสังคม โดยให้ทุกคนเข้าร่วมระบบประกันสังคม
ขณะที่ “ทรัมป์” ไม่ได้กล่าวถึงนโยบายอะไรมากนัก แต่บอกว่า ในยุคที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีนั้น เศรษฐกิจถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ไม่มีเงินเฟ้อเลย แถมยังทำให้ทั่วโลกยอมรับจนอยากจะลอกเลียนแบบเลยทีเดียว
ซึ่งประเด็นเงินเฟ้อง ทาง “ไบเดน” ก็อดที่จะสวนไม่ได้ว่า ยุคทรัมป์ไม่เกิดเงินเฟ้อหรอก และมันจะเกิดได้ไง เพราะคนไม่มีงานทำ
2.ทหารผ่านศีก
“ไบเดน” ผู้มีลูกที่เคยเป็นทหารแล้วกลับมาเป็นมะเร็งเสียชีวิต ก็ได้พยายามผลักดันกฎหมายขยายการดูแลทหารผ่านศึกที่ต้องสัมผัสกับบาดแผลและสารพิษ ในขณะที่ทรัมป์ไม่มีนโยบายเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
3.สงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทรัมป์ให้สัญญากับเรื่องนี้ว่าจะทำให้สงครามนี้หยุดลงได้แน่นอน และมันจะเรียบร้อยก่อนที่เขาจะเข้าออฟฟิศเพื่อทำงานในฐานะประธานาธิบดีอีกด้วย ทางด้านไบเดน เขามองว่าสหรัฐฯควรช่วยเหลือยูเครน โดยอธิบายว่าการช่วยเหลือยูเครนส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอาวุธ ซึ่งผลิตในสหรัฐฯ ถือเป็นผลดี และเป้าหมายของปูตินคือการสถาปนาสหภาพโซเวียตขึ้นใหม่ เพราะฉะนั้นปูตินจะไม่หยุดอยู่แค่ยูเครนแน่นอน
4.สงครามอิสเอล-กาซา
ทางด้าน “ไบเดน” จะยังคงผลักดันแผนสันติภาพที่ได้รับการรับรองโดยอิสราเอลและประเทศอื่นๆ แต่กลุ่มฮามาสปฏิเสธ และประกาศจะสนับสนุนอิสราเอล
ส่วนทรัมป์กลับมองว่าสหรัฐฯไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ปล่อยให้อิสรเอลจัดการเองให้จบก็เพียงพอแล้ว
5.ประชาธิปไตย
เนื่องจากเหตุการณ์ที่รัฐสภาสหรัฐฯโดนบุกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งถูกมองว่ามาจากการปลุกระดมผู้สนับสนุนทรัมป์ โดยตัวของทรัมป์เอง ผู้คนต่างเป็นกังวลว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่ ซึ่ง “ทรัมป์” อธิบายว่า การจลาจลวันนั้นเกิดจากการรับตำแหน่งของไมค์ เพนซ์ ซึ่งทำให้สหรัฐฯดูเป็นตัวตลก ครั้งนี้หากเขาได้รับตำแหน่งอะไรต่างๆก็คงไม่เกิดขึ้น
6.การอพยพเข้าเมือง
เป็นอีกครั้งที่ “ทรัมป์” บอกว่าในสมัยของเขา เรื่องนี้ปลอดภัยที่สุด ปลอดภัยจนแทบไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย
ต่างจาก “ไบเดน” ที่ยกประเด็นต่างๆขึ้นมาจากปัญหานี้ ยกตัวอย่างเช่น ความพยายามของฝ่ายบริหารในการจัดการคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และกล่าวถึงการสนับสนุนหน่วยตระเวนชายแดนที่ไม่เพียงพอ เขาจึงพยายามขอมติจากรัฐสภา เพื่อให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการจัดการกับการไหลเข้าของผู้อพยพ การลดการแพร่กระจายของยาเสพติด และจัดสรรงบประมาณให้กับด่านตระเวนชายแดนและด่านตรวจคนเข้าเมือง
7.การทำแท้ง
“ทรัมป์” พูดถึงการยกเลิกคำตัดสินของศาลสูงคดี Roe v Wade ที่ทำให้การทำแท้งในสหรัฐฯเปลี่ยนเป็นผิดกฎหมายทั่วประเทศ เขาอบอกว่า เขาสนับสนุนให้แต่ละรัฐมีอำนาจที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้เอง และบอกว่าส่วนตัวเขาสนับสนุนให้การทำแท้งระยะสุดท้าย
แต่ไบเดนไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งระยะสุดท้าย เพราะมันอันตรายเกินไป อาจจะคร่าชีวิตของผู้ท้องได้
8.ภาวะโลกร้อน
“ทรัมป์” รีบเคลมโดยเร็วว่าสมัยของเขา เขาทำสถิติตัวเลขลดลงได้มากที่สุด ทำให้ “ไบเดน” สะดุด หลุดพูดเกี่ยวกับพรรคเดโมแครตยื่นผ่านกฎหมายเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อประชาชน
นอกจากนโยบายต่างๆแล้ว สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเวทีนี้คือการจิกกัดของทั้งสองคนที่ถึงพริกถึงขิงกันตลอดระยะเวลาการดีเบต เรามาดูกันดีกว่า
ในพาร์ทเรื่องของเศรษฐกิจ “ทรัมป์” จะโอ้อวดในผลงานของเขาแล้ว แต่ “ไบเดน” ก็พยายามที่จะโจ้แย้ง โดยบอกว่า ให้ “ทรัมป์” เอาความจริงมาพูดให้ได้รู้กันทั่วเลยว่ามีปัญหามากมาย แต่ถึงอย่างไร ทรัมป์ก็ไม่ยอมรับ แถมยังให้คำแนะนำอีกว่า ผลงานของเขามันดีมากๆแล้วเทียบกับสหรัฐฯในสมัยอื่นๆ ไบเดนไม่เห็นต้องทำอะไรมากมาย เพียงแค่ปล่อยมันไว้เหมือนเดิมก็พอแล้ว
เรื่องของการเข้าเมือง ถึงแม้นโยบายของ “ไบเดน” จะดูดีแค่ไหน ทรัมป์ก็มองว่าสิ่งที่ “ไบเดน” พูดมามันก็เป็ฯเพียงข้ออ้างในการเปิดดินแดนรับผู้ก่อการร้าย ถ้าห้ามเข้าเลยแบบที่เขาทำจะปลอดภัยกว่า
ทหารผ่านศึกก็ถือเป็นเรื่องที่เจ็บแสบพอสมควร เริ่มจากที่ไบเดนเล่าซ้ำเรื่องที่อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของทรัมป์ พล.อ. จอห์น เคลลี นาวิกโยธินเกษียณอายุเล่าว่า “ทรัมป์” ปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมชมสุสานสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝรั่งเศส เพราะเขาคิดว่าคนที่ต่อสู้ในสงครามเป็น “พวกห่วย” ไบเดนโต้กลับมาว่า ลูกชายเขาก็เป็นทหาร แต่ลูกเขาไม่ได้เป็นพวกห่วยนะ ทรัมป์นั่นแหละที่ห่วย และเป็นขี้แพ้
ต่อกันด้วยเรื่องการสนับสนุนสงครามอิสราเอล-กาซา “ทรัมป์” กล่าวหาว่า “ไบเดน” กลายเป็นพวกปาเลสไตน์แล้ว แต่ชาวปาเลสไตน์ไม่ชอบไบเดน เพราะไบเดนเป็นพวกอ่อนแอ
แล้วเรื่องเหตุการณ์ 6 มกราคม 2021 ไบเดนกล่าวว่า “ทรัมป์” ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง และคนเหล่านั้นควรติดคุก ควรเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ แต่ “ทรัมป์” กลับต้องการที่จะปล่อยพวกเขาทั้งหมดออกไป แถมตอนนี้ยังมาบอกว่าถ้าเขาพ่ายแพ้อีกครั้ง ก็อาจจะมีเหตุการณ์อีก
“ไบเดน” บอกว่าทรัมป์นี่เป็นคนที่ขี้บ่นถึงขั้นนองเลือดได้เลย
เกี่ยวกับการแก้แค้นทางการเมือง สืบมาจากประเด็นที่ “ทรัมป์” เคยพูดหลังจากถูกตัดสินลงโทษในห้องพิจารณาคดีที่นิวยอร์ก ว่าเขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะติดตามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา ทรัมป์ออกมาโต้ว่าเขาได้รับโทษสำเร็จแล้ว และเขาจะทำให้ประเทศนี้สำเร็จอีกครั้ง และยังบอกอีกว่า ลูกของ “ไบเดน” ก็มีคดีอยู่ หาก “ไบเดน”หลุดตำแหน่งเมื่อไหร่ เขาคงต้องไปรับโทษเช่นกัน ทางด้านไบเดนก็เถียงกลับว่า ความคิดที่จะใช้อำนาจให้ลงโทษใครเพียงเพราะเขาเป็นประธานาธิบดีมันผิด และไม่สมควรเกิดขึ้น
และสุดท้าย ประเด็นร้อนที่ถูกขุดขึ้นมาโดยไบเดนอย่างการที่ทรัมป์เคยมีคดีล่วงละเมิดดาราหนังผู้ใหญ่ แถมซุกซ่อนบัญชี การจ่ายเงินปิดปากเหยื่อก่อนการเลือกตั้งปี 2016 ถึงแม้ “ทรัมป์”จะปฏิเสธเสียงแข็งแต่การเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทิ้งทวนให้ผู้คนไปสืบค้นข่าวนี้หลังจบการดีเบท
แท็กที่เกี่ยวข้อง เลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ,โจ ไบเดน ,โดนัลด์ ทรัมป์