เศรษฐกิจ

เฟดลดดอกเบี้ยแรง 0.5% หนุนหุ้นไทยบวกกว่า 19 จุด ทำเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือน

โดย nattachat_c

10 ชั่วโมงที่แล้ว

10 views

ตลาดหุ้นไทย ประจำวันที่ 19 ก.ย. 67: SET Index ปิดที่ 1,454.84 จุด เปลี่ยนแปลง +19.07 จุด มูลค่าการซื้อขาย 67,697 ล้านบาท


โดยการซื้อ-ขาย ตลอดทั้งวัน 

  • ต่ำสุดที่ 1,436.14 จุด
  • สูงสุดที่ 1,454.84 จุด


ทั้งนี้ ผลส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.75 - 5.00% แถมยังส่งสัญญาณว่า ในปีนี้อาจจะมีการปรับลดลงอีก และคาดว่าปีหน้าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1% ซึ่งอาจทำให้ภายในสิ้นปี 2568 อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 3.5%


ทั้งนี้ ยังได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทอีกด้วย โดยเมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 67) ช่วงเวลา 6 โมง ค่าเงินบาทไทยอยู่ที่ 33.08 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าแข็งค่าที่สุดในรอบ 19 เดือน ตั้งแต่ ก.พ. 2566 ก่อนที่จะปิดตลาดราว 33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ


ทั้งนี้ การที่เฟดลดดอกเบี้ยแรงถึง 0.5% ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศได้ลดดอกเบี้ยตาม อย่าง 'อินโดนีเซีย' ทางธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี โดยลด 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 6% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ลดก่อนที่เฟดจะประกาศเสียอีก และถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.พ. 2021


ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงดอกเบี้ยขาลง โดยยุโรปลดอัตราดอกเบี้ยมาก่อนหน้านี้ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยลง จากที่หลายคนบอกว่าจะลดครั้งละ 0.25% แต่ครั้งนี้ใช้ยาแรงลดถึง 0.50% และยังมีแนวโน้มลดลงอีก 0.50% ถือเป็นการส่งสัญญาณค่อนข้างดี


ทั้งนี้ หอการค้าเห็นว่าถึงเวลาที่ กนง.ควรพิจารณาลดดอกเบี้ยให้อยู่ระดับที่เหมาะสม เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทไม่แข็งค่าจนเกินไป ซึ่งจะช่วยเอื้อให้ผู้ส่งออกและภาคท่องเที่ยวแข่งขันได้ดีขึ้น


ส่วนเกียรตินาคินภัทร มองว่า กนง.อาจไม่เร่งลดดอกเบี้ยตามเฟด หรือประเทศในภูมิภาค เพราะส่วนใหญ่ กนง.ดูปัจจัยในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เห็นต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4 คาดว่ามีโอกาสเห็นการโตของจีดีพี 4% จากการเร่งกระตุ้นภาครัฐ ดังนั้น ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีน้อยลง



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/3snRnUDS6k4


คุณอาจสนใจ

Related News