เลือกตั้งและการเมือง

ดีขึ้น หรือ แย่ลง? 3 กูรูวิเคราะห์เศรษฐกิจไทย หลัง ‘ทรัมป์’ นั่ง ปธน.สหรัฐฯ สมัย 2

โดย nattachat_c

7 พ.ย. 2567

191 views

วานนี้ (6 พ.ย. 67) เป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก โดยชัยชนะของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก โดยปิดตลาด -14.25 จุด ปิดที่ 1,467.42 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 57,315 ล้านบาท


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า 'โดนัลด์ ทรัมป์' จะเน้นนโยบายอเมริกา เฟิร์สต์ หรืออเมริกาต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก


หากประเทศไหนได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ก็จะต้องถูกเพ่งเล็ง โดยไทยอยู่ในส่วนนี้ แต่สำหรับไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่ผ่านมาในสมัยน ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก ไทยก็ผ่านเรื่องนี้มาแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี


ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ ขึ้นภาษีจัดเก็บการนำเข้าสินค้าก็คงจะขึ้นทุกประเทศ โดยไทยไม่น่ามีข้อเสียเปรียบมาก แต่จีนจะเสียเปรียบมากกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งภาคเอกชนได้พูดคุยกับสถานทูตจีนประจำประเทศไทยอย่างต่อเนื่องถึงเรื่องการเข้ามาลงทุนในไทย


อย่างไรก็ตาม ไทยควรมีแนวทางทำให้สหรัฐไม่มีความรู้สึกถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่ไทย เพราะอาจถูกเพ่งเล็งเรื่องภาษีเช่นเดียวกับจีนได้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าบางอย่างไปที่สหรัฐฯ ได้ ขณะเดียวกัน หากจีนย้ายฐานผลิตมาที่ไทยเพิ่มขึ้น ก็ควรสร้างงาน และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาให้กับคนไทยด้วย


ส่วนการส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในส่วนของไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบมาก และสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีคุณภาพ 


อย่างไรก็ตาม ไทยควรปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการนำสินค้านำเข้า-ส่งออก รวมถึงเรื่องการลงทุนที่สหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก


ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น ไม่ว่าใครจะได้เป็นก็ตาม ประเทศไทยได้ผลประโยชน์จากการที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศจีนแน่นอน


คือ สหรัฐฯจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีนมากขึ้น และในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะซื้อสินค้าจีนน้อยลง และหันมาซื้อสินค้าจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย


ทั้งนี้ในสมัย 'โจ ไบเดน' ได้มีการเก็บภาษีรถยนต์จากจีน 100% เมื่อ พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์ แต่ในสมัยของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' จะรุนแรงมากขึ้น โดยจะมีการเพิ่มกำแพงภาษีจากประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 10 - 20% ส่วนจีนนั้น อาจจะเก็บมากถึง 60- 100% ซึ่งไทยอยู่ในด้านที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ


นอกจากนั้น ไทยจำเป็นต้องมี 'ล็อบบี้ยิสต์' ในการเจรจา และวางนโยบายที่ชัดเจน  เพราะการเจรจากับ 'ทรัมป์' นั้น เป็นไปในลักษณะ 'หมูไปไก่มา'


ด้าน นายชัยชาญ เจริญสุข” ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างมีความชัดเจนแน่นอนจะมีการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลก world orderใหม่ นโยบายการค้าต่างประเทศจะมีการแบ่งไฟล์เป็นสองขั้วอำนาจกันเด่นชัดมากยิ่งขึ้น


ผู้ส่งออกจะต้องมีการปรับตัวให้อย่างรวดเร็วและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลาเพราะปัจจัยต่างๆจากภายนอกจะมีผลมากระทบจากทางตรง หรือทางอ้อม ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้


1. ต้องทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ ไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่ย้ายฐานมาในภูมิภาค ไม่ใช่แต่เพียงแต่เฉพาะในประเทศไทย แต่รวมถึงในกลุ่มของอาเซียน และอินเดีย ด้วย


2. จะต้องหาตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง และหากนโยบายต่อต้านรถไฟฟ้ามากขึ้นของสหรัฐมากขึ้นและเน้นรถยนต์สันดาป จะเป็นโอกาสให้ไทยมีโอกาสขยายชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังภูมิภาคอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้


3. ไทยต้องสร้างบรรยากาศทางการลงทุนให้เอื้อต่อการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน ให้มีความโดดเด่นกว่าในภูมิภาค


4. ในเรื่องนโยบายการเจรจาการค้ากับต่างประเทศของประเทศไทย จากนี้ไปเป็นต้นไป จะต้องมีความละเอียดรอบคอบพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน เพราะจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากมากขึ้น จากการแบ่งขั้วของการค้าต่างประเทศ


ประเทศไทยจะต้องเป็นกลางเหมือนในอดีตที่ผ่านมา และต้องป้องกันสินค้าจากประเทศจีนที่จะทะลักเข้ามาสู่ประเทศไทยมีแนวโน้มมากขึ้น ต้องตั้งมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้น รวมทั้งต้องเน้นการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องใช้นวัตกรรมอย่างเข้มข้นจากนี้ไป



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Ff5xILElb6o

คุณอาจสนใจ

Related News