สังคม

ผอ.–ครู ระดมเงินช่วย นร.กัมพูชาวัย 13 ย้ำครูก็รักชาติ แต่วอนเข้าใจ สงสารเด็กต้องกลับเขมร

โดย petchpawee_k

29 ส.ค. 2568

133 views

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.68) จากเหตุการณ์ดราม่า ครูนักเรียนร้องไห้กอดกัน หลังจากตำรวจ คุมตัวแม่ชาวกัมพูชา พร้อมลูกชายออกจากโรงเรียนบัวเชดวิทยา เพื่อผลักดันกลับประเทศกัมพูชา หลังพบว่าไม่มีเอกสารที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฏหมาย


ช่วงเที่ยงวานนี้ (28 ส.ค.) นางสาวกชพร ผอ.โรงเรียน พร้อมด้วยคณะครู เดินทางมายัง สนง.ตรวจคนเข้าเมือง จ.สุรินทร์ อ.กาบเชิง เพื่อนำเงินที่รวบรวมได้ 14,000 บาท มาให้เด็กชายชาวกัมพูชา อายุ 13 ปี และแม่ เพื่อไว้ใช้จ่ายระหว่างที่ไปอยู่ประเทศกัมพูชา รอผู้ใหญ่ใจดีทางประเทศกัมพูชา ที่รับปากว่าจะช่วยเดินเรื่องเอกสารให้สองแม่ลูกดังกล่าว หลังจากนายพัฒนา ชื่นยง ผจก.ตลาดการค้าชายแดนช่องจอม เป็นคนกลางประสานกับนักธุรกิจชาวกัมพูชาให้ช่วยเหลือ เนื่องจากสงสารสองแม่ลูกอีกด้วย


ซึ่ง ผอ.และคณะครูเดินทางมาไม่ทันสองแม่ลูก หลัง เจ้าหน้าที่ ตม.สุรินทร์ นำตัวไปส่งที่ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตั้งแต่ช่วงสาย ก่อนที่ ผอ.จะโทรศัพท์หาลูกศิษย์ด้วยความเป็นห่วง และฝากให้กำลังใจกับเด็กชายว่าจะได้กลับมาเรียนในเร็วๆ นี้ พร้อมกับโอนเงินผ่านบัญชีเจ้าหน้าที่ ตม.สุรินทร์ เมื่อถึงปลายทางก็จะกดเงินสดให้ติดตัวกลับไป ซึ่งสองแม่ลูก จะไปพักอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องที่ฝั่งกัมพูชาก่อน ระหว่างที่ดำเนินการเรื่องเอกสาร



สำหรับเด็กชายชาวกัมพูชาคนดังกล่าว ไม่มีเอกสารใด นอกจากใบเกิดจาก รพ.ในจังหวัดกำปงจาม ประเทศกัมพูชา ส่วนมารดา ระบุว่า เคยยื่นเรื่องทำบอร์เดอร์พาสมา 5 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ ซึ่งหลังจากกลับไปและมีผู้ใหญ่ใจดีทางกัมพูชาจะช่วยดำเนินการเรื่องเอกสาร และเมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทยได้แล้ว  ตม.สุรินทร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนะนำให้สามี คือนายใบ  อายุ 67 ปี ซึ่งเป็นคนไทย สามีของนางมอม ชาวกัมพูชา ร้องต่อศาล เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกชายของตนจริง และต้องตรวจดีเอ็นเอ หรือ ยินยอมรับเด็กชายกัมพูชาเป็นลูกบุญธรรม ที่ถูกต้องตากฎหมาย ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ พมจ.สุรินทร์ รวมทั้ง สพม.สุรินทร์ จะได้ช่วยเหลือเด็กชายรายนี้ตามระเบียบกฏหมายได้ต่อไป


นางสาวกชพร ผอ.โรงเรียน เปิดเผยว่า เมื่อวานที่ผ่านมา มีตำรวจจาก สภ.บัวเชด ติดต่อมาว่ามีคนแจ้งจับผู้ปกครองนักเรียน ข้อหาลักลอบเข้าเมืองพร้อมกับลูก มาจากเขมร โดยเข้ามาแบบผิดกฎหมาย จากนั้นตำรวจมาขอนำตัวเด็กไปที่ สภ.บัวเชด มันเป็นเรื่องของกฎหมาย เราเป็นข้าราชการ เราก็ต้องปฎิบัติตามกฏหมาย ก็ยินดีให้พาเด็กไป ขณะเดียวกันก็ส่งครู และรอง ผอ.ไปดูแลเด็กที่ สภ.บัวเชด ซึ่งขณะนั้นไม่ได้คิดว่าจะเหตุการณ์จะร้ายแรงขนาดนี้เกิดขึ้น คิดว่าเป็นเรื่องของกฎหมายตำรวจมาก็ต้องให้ความร่วมมือ จากนั้นจึงมีการเรียกประชุมครูว่า จะช่วยกันหาแนวทางช่วยเหลือเด็กได้อย่างไร



ซึ่งเด็กคนนี้ต่อให้เรียนดี หรือเรียนไม่ดี เขาก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนบัวเชดวิทยา เขาคือเด็กของเรา ลูกของเรา ด้วยความเป็นครู เรารักเขา เราพูดในฐานะของความเป็นครู ในฐานะที่เราเป็นเหมือนแม่ เหมือนพ่อคนหนึ่งที่ดูแลเขา เราไม่ได้พูดถึงกฎหมาย เรายอมรับว่าเขาเข้ามาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เด็กคนนี้เขาเข้ามาตั้งแต่เล็ก ตอน 3 ขวบ แม่เป็นคนหอบเขาเข้ามา แต่แม่ก็บอกว่าเขาเป็นลูกที่มีพ่อเป็นคนไทย และเข้ามาอยู่กับพ่อที่เป็นคนไทย จนเข้าเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนบ้านโนนสังข์ และเขาก็มีเอกสารทุกอย่างเข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียน ยืนยันเรารับเด็กตามระเบียบ ตามกฏหมาย คือเด็กมีใบ ปพ. มีใบเรียนจบจากบ้านโนนสังข์  และรหัสของเขาขึ้นต้นด้วยจี ซึ่งทางนโนยบายของรัฐบาลก็คือ เด็กทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย ต้องมีโอกาสได้เรียน อันนี้ถ้าไปดูข้อกฎหมายก็จะเห็นชัดเจน เราดำเนินการตามนโยบายทุกขั้นตอนในการรับเด็กเข้ามาเรียนในโรงเรียน



รหัสจี หรือ จีโค๊ต เป็นรหัสที่เด็กไม่ใช่คนไทย แต่เป็นเด็กต่างสัญชาติที่มาเรียน ซึ่งการเปิดรับเด็กนักเรียนจะต้องมีเอกสารมาครบทั้งหมด เราก็ต้องรับเขา ที่สำคัญตามนโยบายของ สพฐ.หรือกระทรวงศึกษาธิการ ก็บอกไว้ว่า เด็กกลุ่มนี้ก็สามารถเข้าเรียนได้ แล้วก็ยังสนับสนุนงบเรียนฟรี 15 ปี เด็กกลุ่มนี้ก็ได้รับงบในส่วนนี้ด้วย



อยากให้เด็กทุกคนที่อยู่ในเมืองไทยได้รับการศึกษา รักเขาเหมือนลูก ยิ่งเห็นเขาในสภาพที่ถูกพาตัวไปในสภาพชุดนักเรียน และต้องถูกถอดชุดนักเรียนออก ตำรวจไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี ตามที่มีข่าวโพสต์ออกไป ตำรวจที่ สภ.บัวเชด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ดีกับเด็ก  ไม่ได้กักขังเด็ก ไม่ได้ให้อยู่ในคุกตามที่เป็นข่าว คุณครูและผู้ปกครองก็นั่งอยู่กับเด็กตลอดเวลา แต่จู่ๆ เด็กต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งในฐานะที่เป็นครูก็ได้แต่ให้กำลังใจ



อีกอย่างต้องรับว่าครอบครัวเขายากจน ไม่มีเงิน มีเงินติดตัวกันแค่ 2 ร้อย ซึ่งทางโรงเรียนก็ให้เงินไว้ 2 พันบาท เพราะเป็นห่วงเด็กว่าจะกลับไปอย่างไร อยู่อย่างไร และจะกลับมาอย่างไร เป็นห่วงมาก คณะครูจึงได้ตามมาในวันนี้ และอย่ากให้ทุกคนเข้าใจด้วย



ด้านนายโสภณครูผู้ดูแล และเป็นผู้โพสต์เรื่องดังกล่าว กล่าวว่า ไม่เสียใจในสิ่งที่โพสต์ ในฐานะที่เป็นครู เข้าใจว่าทุกท่านรักชาติ ตนเองก็รักชาติไม่ต่างจากท่าน แต่สิ่งที่ตนโพสต์ออกไปในมุมมองของครูที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และเห็นเด็กของเราที่อยู่ในชุดลูกเสือแล้วต้องถอดออก เพื่อที่จะถูกส่งตัวมาที่ ตม.เพื่อจะส่งกลับประเทศ ซึ่งเขาไม่ได้เติบโตที่กัมพูชา เขาพูดไม่ออก เขียนไม่ได้ เราก็คิดถึงว่าเขาจะไปอยู่อย่างไร ประกอบกับแม่ของเด็ก ก็พูดกับตนว่าถ้าไปไม่รู้จะอยู่อย่างไร เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นั้นมานานแล้ว ก็เลยรู้สึกสงสารและนอนไม่หลับ จึงได้โพสต์ลงโซเชียล แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นกระแสสังคมที่แรงขนาดนี้  แต่อย่างน้อยก็ได้เป็นเคสตัวอย่างกรณีศึกษาให้กับอีกหลายเคส และอย่างให้เข้าใจในมุมมองของครูที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นด้วย ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากทำให้หน่วยงานใดได้รับผลกระทบก็ต้องขออภัยด้วย  ไม่มีเจตนาที่จะไปปรักปรำ ไปต่อว่าใคร ทุกคนทำตามหน้าที่ตัวเอง ตนเองเพียงแค่เป็นห่วงลูกศิษย์ อยากดูแลว่าจะเขาจะเป็นอย่างต่อไป


ส่วนที่เห็นรูปภาพที่เขาเขียนว่าขังเหมือนหมานั้น เป็นการพูดกับเพื่อน ไม่ได้ว่าใคร เขารู้สึกว่าเขาอยู่ตรงนั้นเขาไม่โอเค  ได้แต่วิงวอนให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาช่วยดูแลกรณีแบบนี้ด้วย เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เคสเดียว ยืนยันว่า น้องเป็นเด็กเรียนดี เกรดเฉลี่ย 4.00 เป็นเด็กกีฬา เล่นดนตรีได้หลายอย่าง วิชาการก็ได้ ถือว่าเป็นเด็กเก่งคนหนึ่ง เป็นเด็กดีแล้วก็เก่งด้วย



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/ZtNN2KvxeEY

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ไทยกัมพูชา ,กัมพูชา ,สุรินทร์

คุณอาจสนใจ

Related News