ผู้บริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ เผยพบของถูกทิ้งจนพังตั้งแต่ปี 54 รับเสียใจเพราะตั้งใจทำบุญมาตลอด

ผู้ศรัทธาบริจาคของให้วัดพระบาทน้ำพุ เผยพบของบริจาคถูกทิ้งจนของพังตั้งแต่ปี 54 ยอมรับเสียใจกับข่าวที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาตั้งใจบริจาคของทำบุญกับวัดมาตลอด วอนเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบใบอนุโมทนาบัตรว่าเป็นของจริงหรือไม่

จากกรณีของบริจาคภายในวัดพระบาทน้ำพุถูกทิ้งและไม่ได้ใช้งานจนของเสื่อมสภาพ ล่าสุดทีมข่าวได้คุยกับหนึ่งในผู้บริจาคของให้กับวัดพระบาทน้ำพุผ่านทางโทรศัพท์มือถือ คือ นางณัฏฐิกา (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี เล่าว่าจุดเริ่มต้นของการทำบุญกับวัดพระบาทน้ำพุ คือเห็นหลวงพ่ออลงกต ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุออกโทรทัศน์ทีวี และออกมาบอกว่าภายในวัดมีผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) และเด็กกำพร้า จำนวนมาก แต่ทางวัดมีค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอในการซื้อข้าวสารอาหารแห้ง และของจำเป็น ด้วยความที่มีจิตศรัทธา และอยากทำบุญจึงได้นำสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงเงินไปบริจาคที่วัดตั้งแต่ปี 2554 ต่อเนื่องมาตลอด

และในปี 2554 เธอได้ซื้อเตียงสำหรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นเตียงที่ดีมากมีทั้งโต๊ะทานอาหารในตัว เป็นเตียงที่สามารถหมุนได้สะดวกต่อผู้ป่วย จากนั้นได้ขับรถยนต์ไปที่วัดพระบาทน้ำพุกับสามี พอถึงวัดก็มีคนของวัดเข้ามาช่วยยกของลง โดยจุดที่จะนำเตียงไปเก็บเป็นอาคารชั้นเดียวแยกเป็นหลังๆ อยู่ภายในวัด ตอนนั้นเข้าไปห้องแรกก็ตกใจเห็นว่าห้องมันรกเต็มไปด้วยเตียงผู้ป่วย วีลแชร์ที่พังไม่สามารถใช้งานได้แล้ว จึงต้องเข็นเตียงไปอีก 2-3 หลัง ถึงจะเจอห้องที่สามารถเก็บเตียงที่นำมาบริจาคได้ ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมของถึงถูกนำมาวางไว้เช่นนี้มันไม่เป็นระเบียบ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจมาก เพราะตอนนั้นก็แค่เข้ามาบริจาคของเท่านั้น

ด้านนางณัฏฐิกา บอกว่าที่ผ่านมาตั้งใจขับรถจากกรุงเทพไปบริจาคของที่วัดอยู่เป็นประจำ และถ้าหากเห็นกล่องรับบริจาคให้ร่วมทำบุญกับวัดพระบาทน้ำพุที่ไหนก็จะทำตลอด พร้อมบอกว่าล่าสุดไม่กี่เดือนที่ผ่านมาพึ่งเจอหลวงพ่อท่านมางานๆ นึง พอเห็นท่านจึงไปทำบุญกับท่าน ซึ่งตอนนั้นเธอได้พูดกับหลวงพ่อว่าปกติแล้วจะไปทำบุญที่วัดตลอด ท่านไม่ได้ตอบอะไรท่านแค่ยิ้มกลับมา

แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวเรื่องวัดพระบาทน้ำพุ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับของที่ถูกบริจาคถูกนำไปทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอตั้งใจที่จะทำบุญ ตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส หรือผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เธอบอกว่าไม่ได้ใช้วิธีการโอนเงินแบบง่ายๆ ในการทำบุญ เพราะเธอกับสามีจะเดินทางไปเลือกซื้อของที่จำเป็นกับทางวัด และเหมาะสมกับผู้ป่วย หรือเด็กกำพร้าด้วยตนเอง และขับรถจากกรุงเทพไปที่วัดเพื่อบริจาคทุกครั้ง

ส่วนที่ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ท่าข้าม เพราะอยากให้มีการตรวจสอบเรื่องใบอนุโมทนาบัตรว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เนื่องจากเธอตั้งข้อสังเกตว่าใบอนุโมทนาบัตรที่เธอไปทำบุญกับทางวัด พบว่ามีชื่อมูลนิธิธรรมรักษ์อยู่คู่กับวัด จึงอยากให้มีการตรวจสอบว่าสามารถทำได้หรือไม่ และเรื่องของที่นำไปบริจาคสิ่งของเหล่านั้นไปไหน และนำไปใช้ถูกตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคหรือไม่ ซึ่งเธอมีความเห็นส่วนตัวว่าทางวัดอาจจะนำของบริจาคเหล่านี้ไปขายต่อหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่คนไปบริจาคของก็ไม่ได้ติดตามว่าของไปที่ไหนบริจาคไปแล้วก็จบกัน