สังคม
เณรวัย 16 น้ำตาคลอ ถูกหลอกเปิดบัญชีม้า ได้เงินแค่ 100 บ. ซ้ำถูกหมายเรียกคดีฉ้อโกง
โดย chutikan_o
28 เม.ย. 2568
196 views
เณรวัย 16 น้ำตาคลอร้องทนาย ถูกหลอกเปิดบัญชีม้า หวังได้เงิน 2,000 แต่ได้แค่ 100 ซ้ำถูกหมายเรียกคดีฉ้อโกงเงินหมุนบัญชีเกือบ 2 แสน ในเวลา 5 ชม. ก่อนอายัติบัญชี
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2568 นางสาวอรทัย อายุ 51 ปี เดินทางพาเณรโชกุน อายุ 16 ปี ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งบวชเป็นสามเณรในพื้นที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย เข้าขอความช่วยเหลือกับนายณธัชพงศ์ บุญเกิด หรือ ทนายกบ ที่สำนักงานกฎหมายทนายกบบุญเกิด อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังจากถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้เปิดบัญชีม้า โดยอ้างว่าจะมีค่าตอบแทนให้จำนวน 2,000 บาท หลังจากเปิดบัญชีตามที่ถูกชักชวน กลับได้รับค่าจ้างเพียง 100 บาทเท่านั้น ก่อนถูกออกหมายเรียกผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ ลงวันที่ 4 เม.ย. 2568 ในข้อหา เป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานฉ้อโกงฯ ไม่พอพบเงินหมุนเวียนในบัญชีเกือบ 200,000 บาท ในระยะเวลาเพียง 5 ชม. ก่อนถูกธนาคารอายัติบัญชี
เณรโชกุน เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ตนเองร้อนเงินจึงโพสต์ขายไอดีเกมผ่านกลุ่มซื้อขายเกม ROV ในเฟซบุ๊ก จนมีมิจฉาชีพโปรไฟล์เป็นผู้หญิงชื่อ Pan Oandr ติดต่อมา เสนอให้เปิดบัญชีธนาคารแลกกับเงิน ตนเองตอบตกลงและสอบถามขั้นตอน มิจฉาชีพบอกว่าให้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรี แลกกับเงินจำนวน 2,000 บาท พร้อมส่งขั้นตอนการเปิดบัญชีมาเป็นรูปภาพ เมื่อเปิดบัญชีเสร็จ ทางมิจฉาชีพก็เชิญเข้ากลุ่มไลน์เพื่อทำขั้นตอนต่อไปโดยในกลุ่มมีประมาณ 4-5 คน
จากนั้นมิจฉาชีพบอกขั้นตอนต่อไปกับเณร โดยต้องสแกนหน้าผ่าน Video Call เอาหน้าเณรไปทาบกับโทรศัพท์อีกเครื่อง และเปลี่ยนเบอร์ OTP เป็นเบอร์ของมิจฉาชีพ หลังจากเปลี่ยนเบอร์ OTP แล้ว เณรไม่สามารถเข้าบัญชีได้อีก หลังเสร็จขั้นตอนทั้งหมด มิจฉาชีพไม่โอนเงิน 2,000 บาทตามที่ตกลงไว้ แต่ให้มาเพียง 100 บาท อ้างว่ามีปัญหากับทีมงาน และจะโอนส่วนที่เหลือให้ภายหลัง
เณรรอนานแต่ไม่มีความคืบหน้า จนมีสายโทรศัพท์จากผู้เสียหายที่ไม่รู้จักโทรเข้า ถามว่าคือนายพงศธรใช่หรือไม่ เณรตอบว่าใช่ แล้วถูกผู้เสียหายตวาดใส่ กล่าวหาว่าโกงค่าซื้อมือถือไป 34,000 บาท เณรตกใจมาก พยายามอธิบายว่าตัวเองน่าจะถูกหลอกให้เปิดบัญชี และพยายามพูดคุยกับผู้เสียหายในไลน์ แต่ผู้เสียหายเรียกร้องให้คืนเงิน 34,000 บาท จึงยืนยันว่าตนเองเป็นเพียงเณร ไม่มีเงินใช้คืนจริงๆ และพูดคุยกับผู้เสียหายรายดังกล่าวจนทราบชื่อว่าชื่อพี่กานต์ ได้โทรไปอายัติบัญชีในวันนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. ทันที ซึ่งให้ข้อมูลมูลกับพี่กานต์ทั้งหมด และก็ต้องขอขอบคุณมากที่ทำการเร่งอาญัติบัญชี
ต่อมากระทั่งวันที่ 19 เม.ย. 2568 เณรได้รับหมายเรียกจากตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ในข้อกล่าวหาว่าโกงเงิน ทั้งที่ตนเองไม่ใช่ผู้กระทำผิด และผู้เสียหายตามหมายไม่ใช่คุณกานต์ที่โทรหาตนเอง แต่เป็นผู้เสียหายชาวสมุทรปราการ ซึ่งไม่ทราบว่ามีผู้เสียหายกี่ราย รู้สึกกลัวมาก ตั้งแต่เห็นหมายเรียก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องไปช่วยกวาดวัดเพื่อระบายความเครียด จากการค้นหาข้อมูลกฎหมายพบว่า มีโทษหนักถึงขั้นจำคุก ทำให้เครียดยิ่งกว่าเดิม
จากนั้นเณรติดต่อผู้ใหญ่ให้พาไปแจ้งความที่ สภ.แม่ลาว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความ และไม่รับฟัง อ้างว่าเณรเป็นคนขายบัญชีให้เขาเอง ตอนนั้นเสียใจมากจนร้องไห้ รู้สึกหมดหนทาง เหม่อลอยเหมือนคนบ้า โชคดีที่มีสามเณรในวัดเจ้าอาวาส คอยปลอบใจ
เณรโชกุน กล่าวต่อว่า ตอนแรกพ่อเสียชีวิตประมาณปี 2561 จึงตัดสินใจบวชเณร ไม่อยากสร้างค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และแบ่งเบาภาระแม่ แต่สุดท้ายแม่ก็จากไปเมื่อปี 2566 ตั้งแต่แม่และพ่อเสียชีวิตจนกระทั่งถึงตอนนี้ บวชมาแล้วประมาณ 5 พรรษา แต่ด้วยภาวะร้อนเงินและความเกรงใจเจ้าอาวาสที่ป่วย ไม่อยากรบกวนเรื่องเงินทอง จึงตัดสินใจทำตามที่มิจฉาชีพบอก โดยไม่คาดคิดว่าจะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่โตถึงขั้นมีหมายเรียกจากตำรวจ การตัดสินใจเปิดบัญชีในครั้งนี้ เพราะอยากได้เงิน 2,000 บาทมาใช้จ่ายเท่านั้น
อยากให้ทนายกบช่วยติดตามจับกุมมิจฉาชีพ เพราะตกใจมากที่เห็นยอดเงินในบัญชี พุ่งสูงเกือบ 200,000 บาทภายใน 5 ชั่วโมงในวันเดียว ตอนนี้รู้สึกกังวลมาก กลัวจะติดคุก ทั้งที่เป็นเหยื่อเช่นกัน และไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร หลังจากวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เณรเลิกติดต่อกับมิจฉาชีพ และลบแชทไปด้วยความลนลาน ส่วนเฟซบุ๊กของมิจฉาชีพยังเคลื่อนไหวอยู่ โดยมิจฉาชีพปฏิเสธว่าไม่ใช่ตัวตนของเขา และอ้างว่าถูกแฮ็กบัญชี โดยการโพสต์ลงกลุ่มบนเฟซบุ๊ก สุดท้ายอยากขอโทษผู้เสียหายทุกคนที่ถูกนำบัญชีไปใช้หลอกลวง หากมีผู้เสียหายเพิ่มเติมสามารถติดต่อมาที่เณรได้ ยืนยันว่าไม่เคยคิดหนี เพราะตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายเช่นกัน
นางสาวอรทัย กล่าวว่า เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเณร ทราบเรื่องว่าเณรถูกมิจฉาชีพหลอกเปิดบัญชีออนไลน์ เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา คือวันที่ 24 เม.ย. 2568 โดยรับทราบจากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่วัดของเณรจังหวัดเชียงราย หลังจากทราบเรื่อง วันที่ 25 เม.ย. 2568 เธอให้เณรนั่งรถเดินทางมาหาที่กรุงเทพ เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านและเจ้าอาวาสวัดได้ช่วยกันให้กำลังใจ และพาไปแจ้งความที่ สภ.แม่ลาว แต่ตำรวจกลับไม่รับแจ้ง อ้างว่า “เณรเป็นคนเปิดบัญชีให้มิจฉาชีพเอง” เณรจึงได้เดินทางมาหาเธอ เบื้องต้นก็ได้พูดคุยให้กำลังใจ ไม่ต่อว่าใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรู้ว่าสภาพจิตใจเณรคงแย่ จึงสอบถามข้อมูลทั้งหมด แล้วเดินทางไปที่ธนาคารเพื่อขอสเตทเมนต์ จึงทราบในวันนั้นว่า บัญชีถูกอายัติในวันเดียวกันที่น้องเปิดบัญชีคือวันที่ 3 ธ.ค. 2567 โดยคุณกานต์ ที่เป็นผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพใช้บัญชีเณรหลอกขายโทรศัพท์ไอโฟนจำนวน 34,000 บาท ไปยังบัญชีเณร หากปล่อยทิ้งไว้จำนวนยอดความเสียหายคงเยอะมากไปกว่า 192,788 บาท
จากนั้นก็ได้พาเณรไปกองทุนยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อปรึกษาเรื่องคดีดังกล่าวว่าควรทำอย่างไรต่อ เนื่องจากหมายเรียกครั้งที่ 1 นั้น ให้เณรเข้าไปพบตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 ซึ่งตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกได้เพียงคำปรึกษาจากทนายของกองทุนให้ไปรวบรวมเอกสารมา จนกระทั่งเห็นทนายกบผ่านสื่อจึงติดต่อขอความช่วยเหลือและเล่ารายละเอียดทั้งหมดก่อนจะเข้ามาพบวันนี้
เรื่องนี้มองว่ากรณีนี้เป็นมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ และจะหาเหยื่อเป็นเด็กเยาวชนที่มีแอปธนาคารในสมาร์ทโฟน ซึ่งกรณีนี้มิจฉาชีพรู้ว่าบวชเณรก็ไม่เว้น ซึ่งเรื่องนี้เณรเองก็ยอมรับผิดมาโดยตลอดไม่เคยพูดว่าตัวเองถูก เพียงเพราะเงินจำนวน 2,000 บาท เท่านั้นที่คิดว่าจะนำมาใช้กินใช้อยู่โดยไม่เดือดร้อนใคร และพ่อกับแม่เณรก็เสียชีวิตไปแล้ว เธอเข้าใจความรู้สึกทุกอย่าง และได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านมาว่ากลัวเณรคิดสั้น เพราะเณรเครียดจนกินไม่ได้ บางครั้งก็เหม่อลอย หลังจากทราบเรื่องก็ต้องช่วยเต็มที่เพราะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่ยอมรับว่าเป็นคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำเช่นกันไม่มีเงินเยอะ และก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ค่อยติดต่อญาติที่เชียงราย หลังจากแม่ของเณรเสียไป แต่ตอนนี้จะช่วยเณรเท่าที่ช่วยได้ และเชื่อว่าเรื่องนี้เณรรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่กระทำแบบนั้นไป โดยไม่คิดถึงสิ่งที่ตามมาภายหลัง
ด้านทนายกบ กล่าวว่า พยายามติดต่อพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือเพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับหมายเรียกคดี แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้สามารถขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนได้ เนื่องจากเณรไม่มีผู้ปกครอง จากการตรวจสอบ พบว่าเณรไม่ได้มีเจตนาโกงผู้เสียหาย และจากข้อมูลบัตรประชาชนยังระบุสถานะเป็นเด็กชาย แต่เมื่อเปิดบัญชีธนาคาร ระบบกลับขึ้นว่าเป็นนาย ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของธนาคารเอง
สำหรับขั้นตอนการเปิดบัญชี มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์ 2 เครื่องเปิดวิดีโอคอลพร้อมกัน เพื่อหลอกระบบสแกนใบหน้าในแอปธนาคาร ขณะนั้นเณรมีอายุเพียง 15 ปี การทำธุรกรรมดังกล่าวจึงถือเป็น โมฆียะกรรม และจะต้องดำเนินการเพิกถอนบัญชีต่อไป
ทนายกบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บัญชีที่มิจฉาชีพใช้หลอกเณรยังคงมีการเคลื่อนไหว โดยมีข้ออ้างว่าถูกแฮ็กบัญชี แต่จากการตรวจสอบพบว่าบัญชีที่โอนเงินให้เณรเป็นอีกบัญชีหนึ่ง ไม่ใช่บัญชีที่กล่าวอ้างว่าถูกแฮ็ก ในส่วนข้อกฎหมาย กรณี “บัญชีม้า” มี 2 ลักษณะ คือ หากเจ้าของบัญชีรู้เห็น หรือสนับสนุนให้นำบัญชีไปใช้ในทางทุจริต จะมีความผิดตามกฎหมาย แต่หากไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดก็ไม่ต้องรับผิดเรื่องฉ้อโกง ส่วนกรณีของเณร เนื่องจากยังเป็นเยาวชน จะได้รับการพิจารณาตามกระบวนการของศาลเยาวชน
วันนี้พาเณรไปแจ้งความดำเนินคดีกับมิจฉาชีพกับพนักงานสอบสวน สภ.บางบัวทอง ที่หลอกลวงไปเปิดบัญชีเพื่อใช้กระทำความผิด ตอนนี้อยากให้เณรไม่ต้องกังวล เพราะความเสียหายขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 95 รายการ ยอดรวมราว 192,000 กว่าบาท และยืนยันว่าจะดำเนินการหาทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่
นอกจากนี้ อยากฝากถึงธนาคารทั่วประเทศที่ว่า ควรยกเลิกการเปิดบัญชีออนไลน์ เพื่อป้องกันปัญหาการใช้บัญชีม้าก่ออาชญากรรมในสังคม พร้อมแนะว่าหากเด็กจะเปิดบัญชีธนาคาร ต้องมีผู้ปกครองร่วมดำเนินการ เพราะเด็กยังไม่มีนิติภาวะ และธนาคารควรตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว และขอฝากถึงผู้ปกครองว่า หากบุตรหลานถูกหลอก อย่าใช้ถ้อยคำรุนแรง แต่ควรสอบถามและให้กำลังใจ เพราะไม่มีใครให้เงินเราฟรีๆ และทุกการหลอกลวงย่อมมีเจตนาแอบแฝงเสมอ
แท็กที่เกี่ยวข้อง สามเณร ,ถูกหลอกเปิดบัญชีม้า ,หมายเรียกคดีฉ้อโกง