ชาวบ้านงง! ชื่อโผล่ขอใช้สิทธิ์ที่ดิน คทช. ทั้งที่ไม่เคยยื่น พบป่าตกในมือนายทุนจีน

ชาวบ้านจันทบุรีงง! ชื่อโผล่ขอใช้สิทธิ์ที่ดิน คทช.ทั้งที่ไม่เคยยื่น ก่อนพบป่าตกอยู่ในมือนายทุนจีน โร่แจ้งตำรวจลงบันทึกประจำวัน

เมื่อเวลา 14.00 น. ชาวบ้านหมู่ 3 ตำบลตกพรม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อให้ปากคำกรณีพบว่ามีชื่อของตนอยู่ในบัญชีขอใช้สิทธิ์ที่ดิน คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ในพื้นที่ตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งต่อมาพบว่าที่ดินดังกล่าวตกอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนชาวจีน

จากการตรวจสอบ รายชื่อผู้แจ้งครอบครองที่ดินบริเวณแปลงปลูกทุเรียนมูซังคิง อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทั้งหมด 14 ราย แบ่งเป็น ชาวฉะเชิงเทรา 3 ราย,ชาวตราด 6 ราย,ไม่ทราบที่อยู่ 1 ราย,ชาวจันทบุรี 4 ราย ได้แก่ นายสุขจิตต์, นายจารึก, นายสุรียา และ นางพรทิพย์ (ไม่ได้อยู่ในพื้นที่จันทบุรี)

ล่าสุด หน่วยป้องกันและรักษาป่าที่ ฉช.3 (หนองคอก) ได้ส่งหนังสือถึงผู้มีรายชื่อทั้ง 14 ราย ให้ไปแสดงตน หากไม่ไปแสดงตัวที่หน่วยป้องกันรักษาป่าฯ จะถือว่าสละสิทธิ์การครอบครองที่ดิน และไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง

นายจารึก หนึ่งในรายชื่อผู้มีสิทธิ์ คทช. ท่าตะเกียบ เปิดเผยว่า ตนไม่เคยเดินทางไปอำเภอท่าตะเกียบ ไม่เคยยื่นเรื่องขอใช้สิทธิ์ คทช. และไม่เคยเซ็นเอกสารใดๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีชื่อของตนอยู่ในบัญชีขอใช้สิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดำเนินการตรวจสอบ

ด้าน นายสุขจิต เปิดเผยว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เคยมีบุคคลนำเอกสารมาให้เซ็น โดยอ้างว่าเป็นใบสมัครงาน ตนไม่ได้เอะใจจึงลงชื่อไปโดยไม่ได้ตรวจสอบ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีมิจฉาชีพระบาด ทำให้ไม่ได้ระแวงอะไร กระทั่งได้รับหนังสือแจ้งให้ไปแสดงสิทธิ์ จึงตัดสินใจนำหนังสือมาลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ตกพรม เพื่อยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่า

พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช รอง ผบก.ภ.จว.จันทบุรี ระบุว่า จากการสอบปากคำ ชาวบ้านทั้งหมดให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอใช้สิทธิ์ คทช. และได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว ทั้งนี้ หากพบว่ามีความเกี่ยวข้องในฐานะ “นอมินี” ถือครองที่ดินแทนนายทุนจีน ทาง สภ.ตกพรม ยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีอย่างเต็มที่ พร้อมเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย