สังคม
รองผบช.น.ยันไม่ปกป้อง 7 ตำรวจกระทืบผิดคน – ญาติเหยื่อรับไม่ได้หลังดูวงจรปิด ลั่น! ไม่ใช่ยุทธวิธีตำรวจ
โดย petchpawee_k
6 ธ.ค. 2567
72 views
รอง ผบช.น.ประกาศไม่ปกป้อง 7 ตำรวจ บก.จร.รุมกระทืบลูกชายอดีตตำรวจเจ็บสาหัส ไม่ตรวจสอบให้ดีและไม่ปฏิบัติตามยุทธวิธีการจับกุม ยืนยันให้ความเป็นธรรมผู้เสียหาย ลั่น! ต่อให้เคสอะไรก็แล้วแต่ จะถูกคันหรือไม่ถูกคัน ตร.ไม่มีสิทธิใดๆ ก่อเหตุแบบนี้
กรณีลูกชายอดีตตำรวจ ถูกตำรวจ บก.จร. 7 นาย รุมกระทืบกลางด่าน จนคอนแทคเลนส์หลุดอาการสาหัส อ้างจำรถแหกด่านผิดคันบอกเข้าใจผิด พร้อมขอโทษเกลี้ยกล่อมไม่ให้เอาเรื่อง ต่อมาผู้การจราจรตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง พร้อมย้าย 7 ตำรวจเข้า ศปก. โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมาบริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์
วานนี้ (5 ธ.ค.) เวลา 16.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงโดยระบุว่าทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนของ บช.น. ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ความเป็นธรรมกับผู้บาดเจ็บและขอแสดงความเป็นห่วง เพราะวันนี้ทางน้องยังรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ที่ทางพ่อและน้องสาวและแม่ได้มาแจ้งความที่ สน. บางเขน ให้ดำเนินคดีกับตำรวจทั้ง 7 ราย รวมถึงมายื่นหนังสือร้องเรียนที่ บช.น.ไว้ส่วนหนึ่ง
ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือ หรือปกปิดข้อเท็จจริงใด ๆ และผู้เสียหายให้การไม่ได้ ยังงดเยี่ยมอยู่ โดยทางพนักงานสอบสวน ขอพบเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ซึ่งวันนี้ (5 ธ.ค.) แพทย์ยังไม่อนุญาตให้สอบปากคำ
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 ราย วันนี้ (5 ธ.ค.) มีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของกองบังคับการตำรวจจราจร พบเบื้องต้นมีมูลเพราะฉะนั้นในวันนี้ (5 ธ.ค.) ทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง
โดยเหตุการณ์เกิดเหตุประมาณตี 1 ครึ่ง ทางผู้บาดเจ็บได้ขับรถมาสด้า สีแดง ห้าประตูเข้ามาที่ด่าน ปรากฏว่าตำรวจที่ด่านเรียกตรวจ เพราะพบว่าไม่มีการติดแผ่นป้ายภาษี จึงไปว่ากล่าวตักเตือน ก่อนปล่อยออกจากด่าน
จากนั้นไม่เกิน 2 นาที ก็มีรถมาสด้า สีแดง ห้าประตูเช่นกัน แต่คนละทะเบียน เข้ามาที่ด่านตำรวจที่ด่าน ก็มีการตรวจเช็คแอลกอฮอล์เบื้องต้นเป็น Positive จึงได้เรียกเข้าด้านข้างเพื่อทำการตรวจ ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวกับขับออกไป ปรากฏว่าตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 นาย ที่ออกเวรแล้วแต่การทำหน้าที่ปรับแต่งกายชุดครึ่งท่อนได้ตะโกนในด่านว่ามีรถมาสด้า สีแดง แหกด่าน ทั้ง 4 คน ขี่จักรยานยนต์ไล่
ส่วนอีก 3 คน อยู่ในเครื่องแบบ ใช้รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาประมาณ 4 กิโลเมตร ถึงจุดเกิดเหตุ ปรากฏว่าไปเจอรถมาสด้า สีแดงห้าประตู แต่เป็นของผู้เสียหาย ชะลออยู่ด้านซ้าย ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้ง 4 นาย เรียกให้จอดและสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามคำบอกเล่าของญาติผู้เสียหาย
จากการตรวจสอบพบว่าตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 นายไม่มีบอดี้แคมติดตัว เนื่องจากกำลังจะออกเวร แต่ตำรวจอีก 3 นาย ที่ขับรถตามมามีบอดี้แคม จึงได้สั่งการให้ผู้การจราจร นำบอดี้แคมของตำรวจไปส่งไปตรวจสอบ และส่งมอบให้พนักงานสอบสวน เบื้องต้นได้ประสานสารวัตรที่ตั้งด่านนำบอดี้แคมเข้าไป ซึ่งแจ้งว่ามีภาพ แต่มีภาพส่วนไหนบ้างที่ทาง รอง ผบช.น.ยังไม่เห็น
เมื่อสอบถามว่าได้มีการสอบถามทางเจ้าหน้าที่ที่ก่อเหตุหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องกระทำการรุนแรงเช่นนี้ ทาง รอง ผบช.น บอกว่า ต่อให้เคสอะไรก็แล้วแต่ ถูกคันหรือไม่ทุกคันก็ตาม ตำรวจไม่มีสิทธิ์ใด ๆ เลยที่จะก่อเหตุแบบนี้ การจับกุมมี พ.ร.บ.อยู่แล้วจะต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก และถึงแม้เขาต่อสู้ขัดขวาง ทุกอย่างก็เป็นขั้นตอนของกฎหมาย และตำรวจทุกนายก็เรียนรู้ยุทธวิธีในการจับกุม เบื้องต้นควรแจ้งว่าทำผิดอะไร และตามเจ้าหน้าที่ไปที่ป้อมพนักงานสอบสวน ให้แจ้งสิทธิ์เขา และถ้าสมมุติต่อสู้ก็ต้องสมควรแก่เหตุ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิ์กระทำกับผู้ที่ถูกกล่าวหา
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวอีกว่า ณ วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ขอยืนยันว่า มันไม่น่าจะเกิด การที่บอกว่า มีการไปจับกุมแล้วผิดคัน เริ่มต้นจากการที่ชุดตำรวจนี้ ไม่ได้มีการตรวจสอบว่ารถคันที่ก่อเหตุจริง ๆ ทะเบียนอะไร แค่ไปเจอทะเบียนรูปพรรณคล้ายกันก็เข้าใจว่าเป็นรถคันที่ก่อเหตุ ซึ่งพฤติการณ์ต่อให้เป็นรถคันที่แหกด่านจริงๆ พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะไปรุมทำร้าย ไม่ทำตามกฎหมาย ไม่ทำตาม ป.วิอาญาใด ๆ ก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
ความผิดดังกล่าว เบื้องต้นเข้าข่ายข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และรอผลการรักษาจากทางแพทย์ว่าระบุสาหัสหรือไม่ถ้าสาหัสก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม "ต่อให้เคสอะไรก็แล้วแต่ จะถูกคันหรือไม่ถูกคันก็ตาม ตำรวจไม่มีสิทธิใด ๆ เลยที่จะก่อเหตุแบบนี้ การจับกุมมี พ.ร.บ.มีกฎหมาย ป. วิอาญา ในการควบคุมตัวอยู่แล้ว"
ขณะเดียวกัน รอง ผบช.น. ยังได้แสดงความเสียใจ และฝากไปถึงครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหายอย่างเต็มที่ เพิ่งทราบว่าผู้เสียหายก็เป็นลูกตำรวจเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกตำรวจหรือประชาชนคนธรรมดาก็ไม่ควรเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น
-------------------------------------
เปิดวงจรปิด! นาที 7 ตำรวจ บก.จร.รุมตื้บลูกชาย "อดีต สารวัตร บก.ปทส." ประสานเข้ามอบมตัวรับทราบข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกาย“ วิ่งหนีสื่อ พ่อ-น้องสาวเหยื่อรับไม่ได้หลังดูภาพวงจรปิด ลั่น! ไม่ใช่ยุทธวิธีตำรวจ
ขณะที่วานนี้เวลา 17.30 น. พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส.เกษียณราชการเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา บิดาของนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ผู้เสียหาย เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่ สน.บางเขน กับ พ.ต.ต.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุด สว.(สอบสวน) สน.บางเขน
พ.ต.ท.ธนชัย เปิดเผยว่า วันนี้ตำรวจได้เรียกตนให้พาไปชี้จุดเกิดเหตุ และดูภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุ รวมถึงสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งเบื้องต้นจากการตรวจสอบภาพวงจรปิดพบเห็นขณะเกิดเหตุกลุ่มตำรวจทั้ง 7 นายได้มี การใช้ความรุนแรง และไม่ได้ปฏิบัติตามยุทธวิธีของตำรวจ ซึ่งหากในวันนี้ตำรวจทั้ง 7 นายเดินทางมามอบตัว ตนเองก็ยังไม่อยากที่จะพบเจอหรือพูดคุย โดยหลังเกิดเหตุตนไม่ได้รู้สึกโกรธแค้น หรือมีความบาดหมางส่วนตัว แต่เรื่องของคดีความก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
พ.ต.ท.ธนชัย กล่าวอีกว่า สำหรับอาการของลูกชายขณะนี้อยู่ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลวิภาวดีเบื้องต้น ยังมีอาการสาหัส โดยเฉพาะ อาการบาดเจ็บของดวงตาและศีรษะ ซึ่งหลังจากนี้ทางแพทย์จะต้องสแกนสมอง เพื่อตรวจสอบความผิดปกติอย่างละเอียดอีกครั้ง
น.ส.ธนัชตา เกิดศรี อายุ 29 ปี น้องสาวของนายธนานพ กล่าวว่า ถึงทางตำรวจจะแถลงยอมรับว่าเป็นการเข้าใจผิด ตนมองว่าก็ไม่ควรอยู่ดีที่จะมาพูดยอมรับทีหลังแบบนี้ นี่คือวิธีการปฏิบัติของตำรวจหรอ เวลาต้องสงสัยว่าคน ๆ นึงอาจเป็นผู้กระทำความผิด หรือทำการเป็นนิสัย ที่ต้องกระทืบก่อน ความถูกต้องอยู่ไหน ความเป็นลูกผู้ชายอยู่ตรงไหน
เพราะพี่ชายถูกตำรวจ 7 รุม ทั้ง ๆ ที่พี่ชายก็ไม่มีอาวุธ แต่กลับไปกดพี่ชายลงพื้น ถีบพี่ชายของตน ส่วนตำรวจ 7 คน ที่จะมาที่ สน.ตนไม่ทราบมาก่อน ซึ่งตนพร้อมเจอหน้าตำรวจทั้ง 7 แต่ถามกลับว่าตำรวจกลุ่มนี้พร้อมเจอหน้าตนหรือเปล่าแค่นั้น เพราะจริง ๆ ตนได้ด่าไปตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้ว วันนี้ตนหมดคำจะพูด และคิดว่าสังคมคงลงโทษเองแล้ว
ขณะเดียวกันข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย ที่ตำรวจทั้ง 7 นาย จะถูกแจ้งนั้น ตนอยากให้พิจารณาในส่วนของ พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่ตำรวจทั้ง 7 คน มีการจับพี่ชายของตนโดยที่ไม่มีบันทึกการจับกุมอะไรเลย หรือว่าใช้วิธีการทำงานแบบนี้อยู่แล้ว ตอนนี้ตนได้เห็นคลิปกล้องวงจรปิดตอนเกิดเหตุทั้งหมดแล้ว ก็เป็นไปตามที่พี่ชายของตนเล่าทั้งหมด โดยตำรวจกลุ่มนี้ไม่ทันจะพูดอะไรก็ลากพี่ชายออกมาจากรถ และรุมกันกระทืบเลย โดยเฉพาะตำรวจนายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ อยากถามว่ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า เพราะในคลิปมีการวิ่งวนมากระทืบพี่ชายหลายรอบมาก
ส่วนกระบวนการสอบปากคำ วานนี้ (5 ธ.ค.) พนักงานสอบสวน สน.บางเขน ได้จัดเตรียมห้องสอบปากคำที่บริเวณชั้น 2 ของ สน. หลังมีรายงานว่าตำรวจทั้ง 7 นาย จะเข้ามอบตัวและให้ปากคำ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหาแก่ตำรวจที่ก่อเหตุ จากนั้นจะทำการแยกสอบปากคำตำรวจแต่ละนาย
อย่างไรก็ตามวานนี้ (5 ธ.ค.) มีรายงานว่าตำรวจทั้ง 7 นาย จะเข้ามอบตัวในเวลา 17.00 น. แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่ปรากฎตัว และไม่มีใครทราบหน้าตาของตำรวจทั้ง 7 นาย ทราบเพียงว่ามีการประสานมาจากผู้บังคับบัญชาในกองบังคับการตำรวจจราจร ว่าทั้งหมดจะเข้ามอบตัวเท่านั้น
20.20 น.พ.ต.ต.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุด สว.(สอบสวน) สน.บางเขน ร้อยเวรเจ้าของคดี กลับมาที่โรงพัก ภายหลังเดินทางไปสอบปากคำนายธนานพ ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ที่ รพ.วิภาวดี ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำโดยใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง กล่าวว่า สอบปากคำผู้บาดเจ็บที่ รพ.วิภาวดี เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด ประกอบกับหลักฐานและพยานแวดล้อมทั้งกล้องวงจรปิด และการให้ปากคำของทางฝั่งครอบครัวผู้บาดเจ็บ รวมถึงพยานหลักฐานอื่นๆ ที่ตำรวจได้รวบรวมมาได้
ต่อมาเวลา 22.48 น.ตำรวจสังกัด บก.จร. ทั้ง 7 นาย ทยอยเดินทางมาที่ สน.บางเขน เพื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยทั้งหมดต่างใช้ยานพาหนะ ทั้ง รถยนต์และรถจักรยานยนต์ เดินทางมาที่ สน.บางเขน ก่อนจะใช้ประตูด้านหลัง สน.บางเขน ขึ้นไปพบพนักงานสอบสวนที่รออยู่ชั้น 2 หลังทั้งหมดมีความพยายามหลบสื่อมวลชน และอีก 2 นาย เดินเข้าหน้าโรงพัก เมื่อเห็นนักข่าวรีบวิ่งเข้าไปใน สน.บางเขน เพื่อเลี่ยงสื่อ
ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกกับการ สน.บางเขน เปิดเผยว่า ตำรวจทั้ง 7 นาย ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนครบทุกคนแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นการสอบปากคำ เพื่อเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย ส่วนพยานหลักฐานขณะนี้ทางตำรวจได้คลิปจากกล้องวงจรปิดณจุดเกิดเหตุครบถ้วน เหลือเพียงต้องกลับไปสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติม เพื่อให้ช่วยยืนยันตัวตำรวจแต่ละราย รวมถึงลักษณะการก่อเหตุและ ระหว่างก่อเหตุได้มีการพูดคุยอะไรบ้าง ซึ่งยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
ส่วนกรณีที่ครอบครัวของผู้เสียหายทองว่าคดีนี้อาจเข้าข่ายตวามผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย นั้นอยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม ส่วนประเด็นที่ทางครอบครัวต้องการเห็นภาพจากกล้องบอดี้แคมของตำรวจขณะปฎิบัติหน้าที่นั้น ทางพนักงานสอบสวนได้ประสานไปยัง กองบังคับการตำรวจจราจรเพื่อขอดูภาพดังกล่าวแล้ว
ผู้กำกับการสถานีตำรวจบางเขน เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้น ขณะที่ตำรวจกองบังคับการจราจร ตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางเขน แต่การทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจโคกคราม
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.บางเขน จะเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา ก่อนจะส่งมอบสำนวนให้ สน.โคกคราม ดำเนินการต่อ แต่เนื่องจากคดีนี้มีความผิดตามมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงต้องส่งสำนวนคดีไปให้ ป.ป.ท. เป็นผู้พิจารณาชี้มูลความผิด และส่งสำนวนกลับมาให้ตำรวจส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ส่วนการดำเนินการทางวินัย ทางกองบังคับการตำรวจจราจรอยู่ระหว่างการพิจารณาโทษความผิดตามวินัยร้ายแรง
สำหรับตำรวจทั้ง 7 นาย เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ รวมถึงยังมีประเด็นที่ต้องสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติม ทำให้หลังจากสอบปากเสร็จสิ้น ทั้งหมดจะถูกปล่อยตัวชั่วคราว
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/5140TLPFFVs
แท็กที่เกี่ยวข้อง กระทืบผิดคน ,ตำรวจกระทืบผิดคน ,บก.จร.