สังคม

ผู้เสียหายร้อง ถูกคลินิกเสริมความงามผ่าตัดผิดพลาดจนเป็นแผลเรื้อรัง ไร้รับผิดชอบ

โดย kanyapak_w

30 ก.ย. 2567

475 views

กลุ่มผู้เสียหายร้องทุกข์กับทีมข่าวช่อง 3 ว่า ถูกคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งผ่าตัดเสริมความงามด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ไม่ได้ผล หนำซ้ำยังก่อให้เกิดความเสียหายที่ใบหน้าจนเป็นแผลเรื้อรัง ถึงขั้นเป็นใบหน้าชักกระตุกเพราะร้อยไหมไม่ถูกวิธี บางรายได้รับฟิลเลอร์ที่หมดอายุและไม่ย่อยสลาย ร้องเรียนกับหลายหน่วยงานถึง 11 หน่วยงาน แต่คดีไม่มีความคืบหน้า เชื่อว่าน่าจะมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังจนเรื่องราวเงียบ ผู้เสียหายต้องทนทุกข์ทรมานมามากกว่า 3 ปี จึงตัดสินใจร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน เพื่อหวังว่าจะได้เกิดความคืบหน้าในการเอาผิดคลินิกดังกล่าว



โดยคุณทราย อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า คลินิกแห่งนี้อยู่ย่านห้วยขวาง มีเจ้าของเป็น influencer ชื่อดังซึ่งปัจจุบันนี้ปิดหนีไปแล้วเพราะก่อเหตุมาหลายคดีโดยเฉพาะเรื่องของการสวมใบอนุญาต ซึ่งตนรู้จักคลินิกนี้มาจากการไลฟ์ตามโซเชียลเพื่อขายคอร์สและตนเห็นว่าน่าสนใจ เลยตกลงที่จะซื้อ 3 คอร์ส เป็นโบท็อกซ์ 2 คอร์สและฟิลเลอร์ 1 คอร์ส ราคากว่าหมื่นห้าพันบาท โดยทางหมอได้นัดให้ทำคอร์สฟิลเลอร์ก่อนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564



ปรากฏว่า เมื่อทำเสร็จแล้ว หมออ้างว่าฟิลเลอร์ยังไม่สมบูรณ์และต้องทำการแก้ไขเพิ่ม ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงเข้าฉีดฟิลเลอร์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 โดยเมื่อฉีดเสร็จแล้วผ่านไปประมาณสัปดาห์กว่า ๆ ก็เริ่มมีอาการชาทั้งปากและปากเบี้ยว ซึ่งเธอมั่นใจว่าไม่ใช่อาการแพ้ฟิลเลอร์แน่นอน แต่น่าจะเป็นตัวฟิลเลอร์ที่มีปัญหา จึงได้ติดต่อไปที่คลินิก ซึ่งทางคลินิกได้นัดให้มาฉีดสลายฟิลเลอร์ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 แต่ภายหลัง คลินิกแจ้งว่ายกเลิกนัด อ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและสั่งปิดชั่วคราว



ทุกวันนี้เธอใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก เพราะเนื่องจากฟิลเลอร์ได้แข็งตัวเป็นก้อนคาอยู่ในริมฝีปาก เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต จะอ้าปากหรือรับประทานอาหารก็เจ็บ ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลสูงถึงหลักแสนกว่าบาท รวมทั้งต้องดำเนินการผ่าตัดเอาก้อนฟิลเลอร์ที่แข็งตัวอยู่ในปากออกถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2566 และ 2567 แต่ก็ยังเอาออกไม่หมด เพิ่งจะนัดหมาย ผ่าตัดรอบที่ 3 กลางเดือนตุลาคมนี้



จากการตรวจสอบพบว่า ฟิลเลอร์ที่ตนถูกฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่มีใบอนุญาตจาก อย. แล้วไม่สามารถหาที่มาได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งคลินิกดังกล่าวนั้นยังมีประวัติถูกร้องเรียนและถูกตรวจสอบในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เป็นคลินิกเถื่อนหมอ สวมใบอนุญาต และเข้าข่ายคลินิกเถื่อนเนื่องจากเปิดปิดไม่ตรงตามในใบอนุญาต เป็นต้น



นอกจากนี้ สิ่งที่ตนรู้สึกไม่สบายใจแล้วกังวลอย่างมาก คือ ความเป็นธรรมที่ยังไม่ได้รับ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการนัดพูดคุยกับคลินิคกันที่ สน.ห้วยขวาง หลังทำฟิลเลอร์ได้หนึ่งเดือน ทางคลินิกก็รับรู้ถึงปัญหา แต่ทางคลินิกไม่สนใจจะรับผิดชอบ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทางพนักงานสอบสวน แต่ปรากฏว่าผ่านมา 3 ปี คดีไม่มีความคืบหน้า ยังไม่มีการเรียกฝั่งคลินิกหรือเจ้าของคลินิกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาให้ปากคำหรือแจ้งข้อกล่าวหา



อีกทั้งได้ร้องเรียนกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งสาธารณสุข ตำรวจ อัยการ และองค์กรอิสระถึง 11 หน่วยงาน แต่คดีกับเงียบไม่มีความคืบหน้า ทั้ง ๆ ที่ตนต้องเหน็ดเหนื่อยหาพยานหลักฐานเสนอให้กับหน่วยงานเหล่านี้ จึงเชื่อว่าเจ้าของคลินิกนั้นน่าจะมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังจนสามารถทำให้คดีเงียบได้



ที่จริงมีผู้เสียหายจากคลินิกดังกล่าวมากกว่า 10 กว่าราย แต่ก็มีหลายรายที่ถอดใจ เพราะผ่านมานานแล้วแต่ไม่รับความเป็นธรรม แต่ตนไม่ยอมและอยากร้องขอความยุติธรรมผ่านสื่อมวลชนว่า อยากให้หน่วยงานต่าง ๆ มาตรวจสอบและนำคลินิกดังกล่าวมาดำเนินคดีให้ได้ เพื่อให้ชดใช้และรับผิดชอบในสิ่งที่ตนต้องเจ็บป่วยเรื้อรังจากคลินิกเหล่านี้จนถึงทุกวันนี้



ด้านคุณชู อายุ 32 ปี ผู้เสียหายอีกรายระบุว่า ตนรู้จักคลินิกดังกล่าวผ่านการไลฟ์ในโซเชียลเช่นเดียวกัน โดยแฟนของตนเห็นว่ามีคอร์สสำหรับฉีดหน้าใสทำโบท็อก และ ร้อยไหมในราคา 7,777 บาท จึงอยากให้ต้นลองทำ ตนก็เลยสมัครคอร์สและนัดหมายทำหัตถการเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2564 โดยการฉีดหน้าใสและทำโบท็อกนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี



แต่ปัญหาอยู่ที่การร้อยไหม เพราะเมื่อผ่าตัดร้อยไหมเสร็จแล้ว ก็มีอาการใบหน้าชักกระตุกและปวด ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่า น่าจะเป็นเอฟเฟคผลข้างเคียงจากการร้อยไหม แต่ผ่านมาถึง 2 สัปดาห์อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ติดต่อไปที่คลินิกก็ปรากฏว่าคลินิกถูกสั่งปิดไปแล้ว จึงตัดสินใจที่จะไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง



ปรากฏว่ามีตัวแทนของคลินิกได้เข้ามาพูดคุยที่สถานีตำรวจ พร้อมกับมีการอวดเบ่งข่มขู่ว่า เจ้าของคลินิกนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลและจะไม่มีใครให้การช่วยเหลือตนได้ ร้องเรียนสื่อสำนักไหน ๆ ก็จะไม่มีทางรับเรื่องนำเสนอข่าวแน่นอน นอกจากนี้ ยังบังคับให้ตนไปใช้เครื่องนวดหน้าเพื่อสลายเส้นไหม ทั้ง ๆ ที่แพทย์โรงพยาบาลวินิจฉัยแล้วว่า ต้องผ่าตัดเอาเส้นไหมออก มิเช่นนั้นจะกลายเป็นพังผืดกล้ามเนื้อ แต่ยอมรับว่าตอนนั้นตนก็ยังเชื่อมั่นในตัวคลินิก จึงไปรักษาด้วยการใช้เครื่องนวดสลายเส้นไหม แต่ปรากฏว่าไม่ได้ผล



จนสุดท้ายเส้นไหมดังกล่าวก็กลายเป็นเส้นกล้ามเนื้อ พังผืดที่ฝังตัวอยู่บริเวณโหนกแก้มข้างขวาและมีเส้นไหมโผล่มาที่บริเวณกกหูเป็นแผลหนอง ไม่สามารถผ่าตัดได้อีก ส่งผลทำให้ตนมีอาการชักกระตุกที่ใบหน้าหนักกว่าเดิม เวลายิ้มกล้ามเนื้อใบหน้าก็จะกระตุกแรงมากจนเกิดอาการปวดทรมาน จนถึงตอนนี้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลในการติดตามอาการสูงถึงหลักแสนกว่าบาท



สิ่งที่ตนต้องการในวันนี้ คืออยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมและอยากให้ทางคลินิกมารับผิดชอบ รวมทั้งรับผิดตามกฎหมาย เพราะความผิดพลาดของคลินิกนั้น ทำให้ตนต้องกลายเป็นคนที่มีปัญหากล้ามเนื้อใบหน้า ใช้ชีวิตอย่างทรมานไปตลอดชีวิต

คุณอาจสนใจ

Related News