สังคม
เศรษฐีนีร้องเจ้าอาวาสเบี้ยวหนี้ 10 ล้าน ลั่นให้ไปยึดโบสถ์ พระครูโต้ไม่มีเอกสารกู้ยืม อ้างเป็นเงินทำบุญ
โดย nattachat_c
5 ก.ย. 2567
141 views
เศรษฐีนีร้องสายไหมต้องรอด ถูกเจ้าอาวาสวัดดังย่านลำลูกกา คลอง 13 ยืมเงินเกือบ 10 ล้าน แล้วเบี้ยวหนี้ บอกให้ไปยึดโบสถ์เอา เศรษฐีนีลั่นถ้าทำได้ก็จะยึดจริง ด้านเจ้าอาวาสโร่แจงหนังคนละม้วน ขณะที่เจ้าคณะจังหวัดสั่งตรวจสอบ
วานนี้ (4 ก.ย. 67) นางกฤษณา อายุ 57 ปี นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดว่า ถูกเจ้าอาวาสวัดชื่อดังย่านลำลูกกา คลอง 13 ยืมเงินนานกว่า 20 ปี เป็นเงิน 9,200,000 บาท และไม่ยอมคืนเงิน โดยเจ้าอาวาสบอกว่าให้มายึดโบสถ์ไปแทน ซึ่งเมื่อครบสัญญาคืนเงิน นางกฤษณาจึงมาปรึกษากับเพจสายไหมต้องรอดว่า จะสามารถยึดโบสถ์ได้จริงหรือไม่ เพราะตอนนี้ตนเองเดือดร้อนมาก เพราะเอาเงินเก็บทั้งชีวิตให้เจ้าอาวาสยืมไปหมดแล้ว
นางกฤษณา เล่าว่า ครอบครัวของตนเองเป็นโยมอุปัฏฐากวัดดังกล่าวมาตั้งแต่รุ่นพ่อ และตนก็ไปทำบุญตั้งแต่สมัยสาว ๆ กว่า 20 ปี จึงมีความคุ้นเคยกับวัด และรู้จักเจ้าอาวาสมานาน
โดยเมื่อปี 2552 เจ้าอาวาสถามว่า พอจะมีเงินใช่ไหม จะขอยืมเงินมาบูรณะซ่อมแซมวัด ด้วยความเคารพ และศรัทธา จึงให้ยืมเงินมาโดยตลอด ครั้งละหลักพันจนถึงหลักแสน มีทั้งเงินสดและโอนเข้าบัญชี โดยเงินสด ตนจะเอาไปให้ภายในกุฏิที่มีเพียงตนกับเจ้าอาวาส ส่วนการโอนเข้าบัญชี ก็จะเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส โดยอ้างว่าหากโอนเข้าบัญชีวัดจะยุ่งยาก
ที่ผ่านมา ตนเองพยายามทวงถามถึงเงินที่เจ้าอาวาสยืมไป แต่ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด โดยบอกว่า หากได้กฐิน ได้ผ้าป่า จะนำเงินมาคืนให้ แต่ก็ไม่เคยคืนให้สักที แถมเจ้าอาวาสยังพูดด้วยว่า ให้มายึดโบสถ์ ยึดศาลา ยึดของในวัดไปเลย พร้อมให้กุญแจโบสถ์มาด้วย เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
นางกฤษณา บอกว่า ตนเคยถูกเจ้าอาวาสข่มขู่ และทำร้ายร่างกาย ใช้เท้าถีบ แต่ตนหลบได้ทัน จากนั้น ก็ถูกบีบคอ ตนเองตกใจมาก เลยถามกลับไปว่า เป็นพระมาถีบทำไม มาถูกตัวสีกาได้อย่างไร ซึ่งเจ้าอาวาสปฏิเสธว่าไม่ได้ถีบ แค่ใช้เท้ายัน และไม่ได้ถูกตัวสีกา แต่สีกามาถูกตัวอาตมาเอง ส่วนเรื่องบีบคอ เจ้าอาวาสขอโทษ และบอกว่าเผลอตัวไป และยังถามตนด้วยว่า มาวัดแบบนี้ไม่กลัวเหรอ มีแต่คนเกลียดตนนะ
นายกฤษณา บอกว่า ตนเครียดมาก จึงไปหาเจ้าคณะอำเภอ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าคณะอำเภอได้ให้เจ้าอาวาสมาทำสัญญารับสภาพหนี้ และบอกให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในสิ้นเดือนสิงหาคม แต่เมื่อถึงวันชำระก็ไม่มาชำระ มีเพียงก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ที่ชำระมา 3,000 บาทเท่านั้น และตั้งแต่ตนให้เจ้าอาวาสยืมเงินไป วัดก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นจะได้ซ่อมแซมบูรณะอะไรเลย แต่เงินไม่รู้หายไปไหน
ส่วนที่มาปรึกษานายเอกภพ เพราะอยากรู้ว่าจะสามารถยึดโบสถ์ตามที่เจ้าอาวาสบอกได้หรือไม่ หากยึดได้ก็จะทำ ส่วนหากใครมาบวชที่วัด ก็ยังให้บวชตามปกติ ตนก็จะเก็บเงินผู้ที่มาบวชตามจิตศรัทธา เพราะตอนนี้ ตนเดือดร้อนมาก เนื่องจากเงินมรดกที่ได้มาจากพ่อ คือเงินทั้งชีวิต แต่กลับถูกเจ้าอาวาสยืมไปจนหมด ตนเครียดมาก จนคิดจะฆ่าตัวตาย เตรียมยาไว้แล้วจะไปกินฆ่าตัวตายภายในวัด เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งที่ก็เป็นคนทำบุญ และไม่คิดว่าเจ้าอาวาสจะมาหลอกเอาเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางกฤษณา โชว์หลักฐานเป็นเอกสารบันทึกข้อความ ซึ่งทำกันที่วัดสุวรรณบำรุงราชวราราม เป็นหนังสือยอมรับสภาพหนี้ ในเอกสารระบุชื่อ พระครูอุดมปทุมาภิรัต (สมบูรณ์ สิริปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดพืชอุดม ขอยอมรับกรณ๊เป็นหนี้กับโยม 2 คน เป็นเงินจำนวน 9,200,000 บาท และจำนวน 230,000 บาท พร้อมระบุว่า ยินดีชำระหนี้คืนทั้งหมด ภายในเดือนสิงหาคม 2567 และมีการเซ็นชื่อลูกหนี้ เจ้าหนี้ทั้ง 2 คน และพยาน โดยเอกสารฉบับนี้ ทำเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 67
นอกจากนี้ ยังมีเอกสารพินัยกรรมเขียนด้วยลายมือ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ระบุว่า เมื่อเจ้าอาวาสวัดพืชอุดมมรณภาพ จะยกทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้กับนางกฤษณา ซึ่งได้แก่วัตถุมงคลต่างๆ ที่สะสมไว้ และเซ็นชื่อกำกับ
พินัยกรรมอีกฉบับ ทำเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 67 ระบุว่า พระครูอุดม ฯ จะยกทรัพย์สมบัติส่วนตัวทั้งหมดเมื่อมรณภาพ ให้กับนางกฤษณา ผู้ร้องเรียน โดยจะเป็นวัตถุมงคลต่างๆ ที่สะสมไว้ เงินสดในบัญชี และโฉนดที่ดิน
ด้านนายเอกภพ บอกว่า ตามความจริงแล้วไม่สามารถยึดโบสถ์ได้ แต่เมื่อเจ้าอาวาสทำเอกสารรับสภาพหนี้ ทางผู้เสียหายสามารถไปฟ้องส่วนตัว และให้ยึดทรัพย์ที่เป็นทรัพย์ส่วนตัวมาใช้หนี้ได้ และจะประสานฝ่ายกฎหมายของสายไหมต้องรอด ให้คำปรึกษาว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง รวมถึงได้ประสานท่านพระครูอ๊อด เจ้าอาวาสวัดสายไหม รองเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา ในการขอคำปรึกษา และช่วยเป็นตัวกลางเจรจาชำระหนี้
จากนั้น นายเอกภพได้พานางกฤษณาไปพบกับท่านพระครูอ๊อด เจ้าอาวาสวัดสายไหม รองเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา โดยนางกฤษณาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้รองเจ้าคณะอำเภอลำลูกกาฟัง ซึ่งท่านพระครูอ๊อด บอกว่า โบสถ์ไม่สามารถยึดได้ เพราะวัดอยู่ในความดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทรัพย์สมบัติของวัดก็ไม่สามารถนำมาขายได้ ไม่สามารถนำไปเข้าไฟแนนซ์ หรือให้ใครได้ เพราะเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา
ส่วนเรื่องการยืมเงิน เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าอาวาส โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และเรียกเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวมาชี้แจงว่า นำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวหรือบริหารวัด โดยท่านพระครูอ๊อดจะประสานกับเจ้าคณะจังหวัด และเรียกเจ้าอาวาสมาไกล่เกลี่ย และไต่สวน หากทำผิดจริงก็มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ สามารถให้สึกออกจากพระได้
ต่อมา พระราชสุทธิธรรมจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยูรธรรมาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้เรียก เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล มาหารือถึงประเด็นดังกล่าว โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
โดยมีรายงานว่า เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้เรียกให้เจ้าอาวาสรูปดังกล่าวมาชี้แจงด้วย แต่พบว่าเจ้าอาวาสไม่อยู่วัด อ้างว่าไปรักษาตาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร จึงไม่สามารถกลับมาได้ทัน
พระราชสุทธิธรรมจารย์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี บอกว่า จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมอบหมายให้เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้ดำเนินการ และจะเรียกให้เจ้าอาวาสมาชี้แจงในวันนี้ (5 ก.ย. 67) เวลา 10.00 น. ที่วัดพืชอุดม หากพบว่ากระทำผิดจริง ก็ต้องให้สึกออกจากการเป็นพระ
ส่วนผู้เสียหาย แนะนำให้ไปแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวได้เซ็นรับสภาพหนี้ไปแล้ว ก็สามารถดำเนินคดีได้
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ระบุด้วยว่า ระหว่างการตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวออกจากพื้นที่ เพราะเจ้าอาวาสจะไม่สามารถโยกย้ายทรัพย์สินออกจากวัดได้ เพราะทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของพระพุทธศาสนา ถ้าหากนำออกไป ก็จะมีความผิดเพิ่มอีก
ด้าน พระครูอาทรธัญญานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดโสภณาราม เจ้าคณะตำบลลำไทร บอกว่า ได้ทราบเรื่องดังกล่าวมา 3-4 เดือนแล้ว และได้ดำเนินการมาโดยตลอด แต่เจ้าอาวาสรูปดังกล่าว กลับมีพฤติกรรมเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่กระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหา ซึ่งทางเจ้าคณะตำบลเคยเสนอให้ไปอยู่วัดอื่น แต่ก็นิ่งเฉย เมื่อถามว่าเอาเงินไปทำอะไรก็ไม่ตอบยอมรับเพียงแค่ว่าเป็นหนี้ ซึ่งก็จะต้องตรวจสอบว่าเอาเงินไปทำอะไร
ส่วนประเด็นที่ผู้เสียหาย บอกว่า ถูกเจ้าอาวาสทำร้าย เรื่องนี้จะสอบสวนเป็นเรื่องต่อไป แต่จะเน้นในเรื่องของเงินก่อน เพราะทราบมาว่า เจ้าอาวาสรูปนี้ไปยืมเงินคนอื่นแบบนี้อีกหลายคน จึงฝากถึงญาติโยมว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ยังมีพระที่ปฏิบัติดีอยู่ในวัดอีกหลายรูป ขอให้ญาติโยมมั่นใจในกระบวนการตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทางเจ้าคณะตำบลได้โทรศัพท์ไปตามเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวให้มาชี้แจง ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเดินทางกลับจากการไปหาหมอที่ จ.สมุทรสาคร จึงไม่สะดวกมาพบในช่วงเย็นวานนี้ (4 ก.ย. 67) จึงนัดไปพบที่วัดในวันนี้ (5 ก.ย.67) แทน และยืนยันว่าไปหาหมอจริง ๆ ไม่ได้หลบหน้า
จนกระทั่งเวลา 18.00 น. ที่วัดพืชอุดม ต.พืชอุดม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พระครูอุดมปทุมาภิรัต เจ้าอาวาสวัดพืชอุดม ที่ตกเป็นข่าวยืมเงินสีกา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว หลังเดินทางกลับมาถึงวัด โดยบอกว่าไปรักษาอาการดวงตาอักเสบมา โดยพระครูอุดมฯ ใส่แว่นดำระหว่างให้สัมภาษณ์ด้วย เพราะตาเจ็บ
พระครูอุดมปทุมาภิรัต เจ้าอาวาสวัดพืชอุดม กล่าวว่า นางกฤษณามาทำบุญที่วัดนานกว่า 13 ปี เวลามีกิจกรรมทำบุญในวัด ก็จะมาช่วยงานเสมอ
ส่วนที่อ้างว่าพระครูอุดมฯ ไปยืมเงินเขา หากมีการยืมเงินกันจริง จะต้องมีเอกสารหลักฐานการกู้ยืม จะมาพูดแบบลอย ๆ ไม่ได้ พอตนถามหาเอกสารการกู้ยืมเงิน แต่นางกฤษณาก็ไม่มีมาแสดง เงินที่นำมาทำบุญ ก็เป็นนางกฤษณานำมาทำบุญด้วยใจเป็นกุศลเอง โดยในวันนี้ ทางคณะสงฆ์จะมาสอบถามข้อเท็จจริงจากตนที่วัด ก็จะชี้แจงไป
ส่วนที่นางกฤษณา บอกว่า พระครูอุดมฯ วางกุญแจโบสถ์เพื่อค้ำประกัน ก็ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และโบสถ์ที่นี่ไม่มีกุญแจ
ส่วนที่นางกฤษณา บอกว่า มีโยมอีกคนชื่อมยุรี ที่ให้พระครูอุดมฯ ยืมเงินเหมือนกันนั้น ขอชี้แจงว่า โยมมยุรีมาช่วยกิจกรรมบวงสรวงเทวดาของทางวัด โดยมาช่วยจัดเครื่องบวงสรวงเท่านั้น ไม่เคยมีการยืมเงิน และตัวพระครูอุดมฯ เองก็ยืนยันว่า ไม่เคยยืมเงินใคร เพราะไม่มีเอกสารการกู้ยืมเงิน
พระครูอุดมฯ ยังบอกด้วยว่า ทางวัดพยายามอดทนมาตลอด เพราะถูกกล่าวหาเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่นางกฤษณาเอง เป็นคนโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อทำบุญเวลาที่วัดมีกิจกรรมต่าง ๆ ทางตัวพระครูอุดมฯ ไม่เคยขอยืมเงิน และกรณีที่กล่าวหาว่าทำร้ายร่างกาย ขอชี้แจงว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ในกุฏิของพระครูเอง วันนั้น นางกฤษณาเข้ามาทวงเงิน และจะเข้ามาทำร้ายพระครูอุดมฯ จึงเอาเท้ายันไป แต่นางกฤษณากลับเข้ามาจับหัวพระครูโขกกับผนังไม้ 2-3 ครั้ง จนฉากไม้บังตาถึงกับเป็นรูโหว่ แต่ตนไม่ได้ไปแจ้งความ นอกจากนี้ พระครูอุดมฯ ยังอ้างว่า นางกฤษณามาทวงสิ่งของที่เคยทำบุญไป ซึ่งอะไรที่ตนคืนให้ได้ ก็จะคืนให้หมด
พระครูอุดมฯ บอกว่า เรื่องบางอย่างที่เป็นข่าวออกไป อาจไม่ใช่ความจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา และมีคนต่างศาสนาที่ไม่หวังดี ฉวยโอกาสสร้างความเสื่อมเสีย จึงขอให้ชาวพุทธมีสติในการรับฟังข่าว
ขณะที่ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพืชอุดม เปิดเผยว่า นางกฤษณายังมาวัดเป็นประจำตามปกติ ซึ่งคนเราหากให้ยืมเงินกันมาเป็น 10 ปี แล้วถูกยืมเงินเรื่อย ๆ ไม่เคยได้คืน จะยังให้ยืมอีกหรือไม่ จึงคิดว่าเรื่องนี้เป็นการอุปโลกน์ มันผิดวิสัยคนมีสตางค์ เพราะเมื่อให้ยืมแล้วไม่ได้คืน ใครเขาจะให้ยืมอีก แต่ตนก็ไม่เคยพูดคุยกับโยมคนนี้ และเจ้าอาวาสก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ตนฟัง ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับวัด
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/RT3OtvRKrfk