สังคม

เด้งมาเด้งกลับ! คืนตำแหน่ง 5 เสือ สภ.ช้างเผือก ยันฝ่ายปกครอง-ตำรวจท้องที่ ไม่ขัดแย้งกัน

โดย thichaphat_d

7 พ.ย. 2566

29 views

คืนความเป็นธรรม สภ.ช้างเผือกแล้ว หลังมีปมกับปกครองเรื่องจับผับเถื่อน พร้อมสั่งปิดสถานบันเทิงฉาวอย่างเด็ดขาด ส่วนเอกสารปิดสถานบันเทิง ฉาวถึง 6 ครั้ง ที่อ้างทำหาย ผู้ว่าเชียงใหม่สั่งตรวจสอบ ยันฝ่ายปกครองกับตำรวจท้องที่ ไม่ได้ขัดแย้งกัน

จากกรณี ฝ่ายปกครองพิเศษเข้าบุกตรวจสถานบันเทิงในจังหวัดเชียงใหม่ และพบเยาวชนอายุต่ำกว่า 17 ปีเข้าใช้บริการถึง 200 กว่าราย และต่อมามีการเด้ง นายตำรวจ สภ.ช้างเผือก มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 ต่อมาทางตำรวจ สภ.ช้างเผือก ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบร้านประกอบการที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไปเลี้ยงฉลองกัน และจับกุมเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีอยู่ในสถานที่แห่งดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการเอาคืนฝ่ายปกครองพิเศษจากส่วนกลางโดยตำรวจท้องที่ และต่อมามีการออกมาแถลงข่าวตอบโต้กัน และแก้ตัวกันอุตลุด ตามกระแสข่าวตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรจภูธรภาค 5 ซึ่งได้มีการแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดรายใหญ่ โดยมี พ.ต.อยู่.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม, พล.ต.ต.กฤษธาพล ยี่สาคร รักษาการ ผบช ภาค 5 และนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวดังกล่าว

ต่อมา นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวกรณีเรื่องการตรวจสถานบันเทิงในเชียงใหม่ทั้งสองหน่วยงานทั้งฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดกระแสเรื่องความขัดแย้งและมีการเด้ง นายตำรวจ สภ.ช้างเผือกเชียงใหม่ และมีการดำเนินการจับกุมเพื่อเอาคืนซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นกระแสเรื่องความขัดแย้งของสองหน่วยงานดังกล่าวว่า วันที่เข้าตรวจสอบจับกุมสถานบันเทิงในเขตรับผิดชอบ สภ.ช้างเผือก ที่ฝ่ายปกครองพิเศษจากส่วนกลางขึ้นมาจับกุม วันนั้นทางฝ่ายปกครองทั้งของจังหวัดเชียงใหม่และเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ สภ.ช้างเผือกเชียงใหม่ก็ไป ไม่ได้มีความขัดแย้งกันแต่ประการใด เป็นการทำงานกันเป็นทีมไม่ได้มีความขัดแย้งกัน นี่คือความเป็นจริง

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ได้ทำหนังสือชี้แจงถึงอธิบดีกรมการปกครอง เรื่องหนังสือเอกสารที่ทางตำรวจ สภ.ช้างเผือก เสนอปิดสถานบันเทิงในเขตรับผิดชอบที่กระทำผิดกฎหมาย แล้วทางจังหวัดออกมาอ้างว่าได้ทำเอกสารหาย เพราะมีการโยกย้ายห้องทำงานต่างๆ ทางผู้ว่าเชียงใหม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ว่า ทางตนได้ข้อมูลจากผู้กำกับ สภ.ช้างเผือก พ.ต.อ กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ว่า เคยทำหนังสือส่งให้ทางจังหวัดเพื่อเสนอปิดสถานบันเทิงในเขตรับผิดชอบที่กระทำผิดกฎหมายถึง 30 กว่าแห่ง โดยเฉพาะสถานบันเทิงที่ถูกจับกุมล่าสุดนั้นทำเรื่องเสนอปิดไปถึง 6 ครั้งนั้น ตนก็ได้ให้มีการไปตรวจสอบดูอีกครั้งว่า การเสนอปิดเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทำไมตนถึงไม่เห็น ปรากฏว่า ผลการตรวจสอบพบว่า ไม่ใช่ 2 ปีนี้ เคยเสนอปิดสถานบันเทิงที่โดนจับกุมล่าสุดเมื่อปี 63 ตนได้ให้ไปหาว่าเรื่องดังกล่าวไปถึงไหนอย่างไร เพื่อดำเนินการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมาย

ปัจจุบันนี้สถานที่ถูกจับกุม คือ เลอเนิร์ส นั้นถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 66 วันนี้ตนได้เซ็นหนังสือสั่งปิดไปแล้ว ไม่ต้องรอตรวจสอบอะไรแล้วและห้ามใช้อาคารสถานที่ ตนในฐานะผู้ว่าฯ ได้ใช้อำนาจหน้าที่ที่อยู่ในขบวนการนั้นแล้ว ตอนนี้ตามขั้นตอนของกฎหมายก็ให้เขาชี้แจงมาภายใน 15 วัน หลังจากนั้นหากไม่มีอะไรก็ให้ดำเนินการสั่งปิดถาวร 5 ปี

ส่วนเรื่องของเจ้าหน้าที่นายอำเภอเมือง นั้นในวันนั้นได้มีการไปทำงานร่วมกัน จึงพบว่านายอำเภอและเจ้าหน้าที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ไม่ได้มีข้อบกพร่อง หรือมีการทุจริตในการเรียกรับหรือว่าไปจ่ายใต้โต๊ะอะไรใคร เราไม่ได้พบเหตุนั้น ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจท้องที่ก็ไปทำงานร่วมกันและไปเจอเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เจอเหตุการณ์นั้นเป็นหลักไม่ได้เจอยาเสพติด และไม่มีเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดกฎหมายหรือบกพร่อง แต่อย่างใด

สำหรับสถานประกอบการที่ฝ่ายปกครองพิเศษไปเลี้ยงฉลองกันและปิดเกินเวลาจนตำรวจช้างเผือก ไปจับกุมนั้น ผู้ว่าฯ ได้เปิดเผยว่า สถานประกอบการจุดนี้เป็นเพียงร้านอาหาร ที่เขามีการไปกินกันเองและคงไม่มีความผิดอะไร

ทางด้าน พล.ต.ต.กฤษธาพล ยี่สาคร รักษาการ ผบช.ภาค 5 ได้เปิดเผยว่า ตอนที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก และฝ่ายปกครองทั้งพิเศษและจังหวัดเชียงใหม่มีการจับกุมสถานบริการที่มีเด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปถึง 242 คนนั้น การทำงานตรวจสอบจับกุมสถานบริการ,บันเทิงที่กระทำผิดกฎหมายนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครอง,ตำรวจ,ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ เรื่องนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง และมีผลการสืบสวนมาแล้วว่า ทางตำรวจ สภ.ช้างเผือก ไม่มีความบกพร่อง ได้มีการตรวจตราดูแล และมีการจับกุมตลอดจนมีการเสนอสั่งปิดสถานบริการแห่งดังกล่าว

เมื่อทางตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้รายงานมาแล้วว่าตำรวจ สภ.ช้างเผือก ไม่ได้มีความบกพร่อง ตนจึงได้สั่งการให้ทาง พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผกก.สภ.ช้างเผือก กลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สภ.ช้างเผือกแล้ว วันนี้ เรื่องกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างปกครองกับตำรวจ นั้นไม่มีอย่างสิ้นเชิง เราทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ

ด้าน พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผกก.สภ.ช้างเผือก ได้เปิดเผยว่า ตนได้รับความเป็นธรรมกลับมาแล้วก็ดีใจ ตนทำงานอย่างตรงไปตรงมา สถานบันเทิง หรือสถานประกอบการจุดไหนกระทำผิดกฎหมายตนได้เข้าดำเนินการและเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ปิดทันที รวมทั้งพวกลักลอบเปิดบ่อนและอบายมุกทุกประเภท ตนไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง ดีใจและภูมิใจที่ตนได้รับความเป็นธรรม ในครั้งนี้และได้ถูกส่งตัวกลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเดิม

อ่างไรก็ตาม ตำรวจ สภ.ช้างเผือก โดย ผกก. และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้จับมือกัน เพื่อที่จะร่วมกันทำงานแบบบูรณาการกันต่อไป

ขณะที่พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หลังเกิดกรณีที่ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พิจารณาคำสั่งให้ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกไปช่วยราชการทันที ภายหลังจากฝ่ายปกครองจับกุมสถานบริการผิดกฎหมายในพื้นที่นั้น เนื่องจากต้องการให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพราะที่ผ่านมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับต่างๆ ในพื้นที่ต้องรับผิดชอบกรณีที่บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ และมีหน่วยงานอื่น หรือหน่วยงานตำรวจส่วนกลางมาจับกุม สิ่งผิดกฎหมายที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ เช่น บ่อนการพนัน หรือสถานบริการ ด้วยการสั่งให้ไปช่วยราชการทันที พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เตรียมให้ทบทวนคำสั่งการพิจารณาโยกย้ายดังกล่าว เพราะส่วนตัวมองว่าการโยกย้ายทันทีหลังเกิดเหตุจะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพของสถานีตำรวจนั้นด้อยลง เนื่องจากไม่มีคนทำงาน อีกทั้งยังต้องมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จากสถานีอื่นไปรักษาราชการแทน เป็นการเสียกำลังพลโดยใช่เหตุ ซึ่งได้หารือในเรื่องดังกล่าว กับพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาแนวทางให้มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และภารกิจของตำรวจที่เพิ่มขึ้นมาก โดยยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้ตำรวจในพื้นที่ย่อหย่อนหรือได้ใจ แต่เป็นการสร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่หากกระทำผิดจริงก็ต้องรับโทษทางกฎหมายแน่นอน

ส่วนกรณีที่ทางรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการ ในบางพื้นที่ (โซนนิ่ง) ไปจนถึงเวลา 04:00 น. ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้นั้น เบื้องต้นเรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา เนื่องจากยังต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์จากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาการกำหนดโซนนิ่งก่อน หากมีความพร้อมก็อาจประกาศบังคับใช้ได้ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ แต่หากยังไม่มีความพร้อมก็ต้องมาหารือร่วมกันอีกครั้ง แต่การบังคับใช้กฎหมายต่างๆยังคงเป็นไปตามเดิม และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พร้อมสนับสนุนกำลังในการรักษาความปลอดภัยและร่วมตรวจสอบสถานบริการต่างๆตามอำนาจหน้าที่และกำลังที่มี

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/H14Z7Q6tGvc

คุณอาจสนใจ

Related News