สังคม

สาวกัมพูชาอุ้มท้อง 6 เดือน ร้องทนาย ถูกสามีคนไทยทิ้ง แถมส่งเอกสารขับไล่ออกจากบ้าน หอบเงิน 1 ล้านหนี

โดย panisa_p

10 ก.ย. 2567

246 views

วันที่ 10 ก.ย. 67 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี น.ส.ปุม อายุ 30 ปี สาวชาวกัมพูชา ได้หอบเอกสารเดินทางมาร้องเรียนกับทางนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิฯ ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิฯ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ หลังถูกอดีตสามีชาวไทย ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทิ้งไปเมื่อกลางปี ขณะที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน หนำซ้ำยังหอบเงินที่ร่วมสร้างกว่า 1 ล้านบาทหนี พร้อมส่งเอกสารขับไล่ให้ออกจากบ้านที่ซื้อด้วยกัน ราคา 5 ล้านบาท อ้างว่าตนเองเป็น “ลูกจ้าง” ไม่ได้จ้างงานแล้วให้ออกจากพื้นที่ไป จึงเกิดความเครียดจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง


น.ส.ปุม เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ตนรู้จักกับนายเจมส์ อายุ 29 ปี ผ่านทางแอปฯ เมื่อประมาณปี 2562 หลังจากที่มีการนัดเจอกัน และพูดคุยกันก็คบหาดูใจ เป็นแฟนได้ 1 ปี ก็เริ่มวางแผนอนาคต ตัดสินใจเช่าแผงสินค้าภายในตลาดแห่งหนึ่ง และร่วมกันลงทุนสร้างฐานะ ซื้อบ้านด้วยกัน ราคาประมาณ 5 ล้านบาท ตนเป็นชาวกัมพูชา จึงไม่สามารถทำเอกสารได้ จึงให้นายเจมส์ทำเรื่องเอกสารให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่าแผงขายผลไม้ในตลาด สัญญาเช่าซื้อบ้าน และเปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ด้วยความที่ตนไว้ใจ และนายเจมส์ดูเป็นคนดี ตนอยากฝากอนาคตไว้ที่นายเจมส์ และตั้งใจจะมีลูกด้วยกัน 


หลังจากใช้ชีวิตด้วยกัน 4-5 ปี ตนได้ทำงานและเก็บเงินร่วมกันเกือบหลักล้าน พอช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 1-2 เดือน จึงเริ่มมีปัญหา มีปากเสียงกัน ตนคิดว่าตัวเองท้อง จึงเริ่มมีเรื่องของฮอร์โมน รวมไปถึงปัญหาเก่าที่ระหองระแหงกัน นายเจมส์พยายามจะตีตัวออกห่าง และขอเลิก ตนสงสารลูกเลยพยายามยื้อมาตลอด จนเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายเจมส์มาบอกเลิก และออกจากบ้านไป ในตอนนั้นตนเองยังพยายามจะขอพูดคุย แต่นายเจมส์ขาดการติดต่อ  และมีการโทรมาหา ไล่ตนให้ย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวทันที แต่ด้วยความที่ตนเสียเปรียบเพราะบ้านเป็นชื่อของนายเจมส์ ทั้งที่ตนเป็นคนผ่อนบ้านเดือนละ 17,800 บาท ตนขอเจรจาว่าจะย้ายออกให้หลังจากคลอดลูก


นอกจากนั้น นายเจมส์ได้ไปบอกเลิกสัญญาแผงขายของที่ตลาดแห่งหนึ่ง โดยตัดช่องทางการทำมาหากินของตน ตนไม่มีที่ทำกิน ขาดรายได้ หนำซ้ำยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทั้งเรื่องของการตั้งครรภ์ ฝากครรภ์ และภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังจากนั้นตนเห็นภาพสตอรี่ไอจีของนายเจมส์ ที่ไปเที่ยวกับหญิงสาวรายหนึ่ง พร้อมลงรูปไปนั่งกินชาบูด้วยกัน หลังจากขอแยกทางกับตนได้ 1 เดือน ตนจึงทักไปหาหญิงสาวรายดังกล่าว ซึ่งทางฝ่ายหญิงก็ไม่ทราบเรื่อง และขอโทษตน


ที่ช้ำใจสุด คือ นายเจมส์ได้ส่งเอกสารระบุข้อความ ขอให้ตนเองย้ายออกจากบ้าน และในเอกสารระบุว่าตนเองเป็น "ลูกจ้าง" อ้างว่าตนไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของนายเจมส์แล้ว พร้อมระบุว่าจะมีการตัดน้ำ และตัดไฟ ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ทันทีที่ตนเห็นเอกสารฉบับดังกล่าว  ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจ และเจ็บใจมาก มองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติในฐานะแม่ของลูก เพราะตนไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่เป็นภรรยาของนายเจมส์ ที่ผ่านมาตนดูแลและช่วยนายเจมส์มาตลอด วันนี้กลับมาพยายามไล่ให้ตนออกไปจากชีวิต ตนจึงอยากจะเรียกร้องขอความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติที่ทางนายเจมส์เอาไป แต่อยากให้นายเจมส์เข้ามาไกล่เกลี่ย และพูดคุย เพราะตนต้องการให้ลูกในท้องมีพ่อ และให้ฝ่ายชายรับรองบุตรให้สัญชาติไทยกับลูกของเขา


ตนพร้อมที่จะเลี้ยงดูและรับผิดชอบเอง ซึ่งหลังจากนี้ตนไม่ขอกลับไปอยู่กินกับนายเจมส์อีก ที่ผ่านมาตนยอม เพราะรัก แต่วันนี้เมื่อนายเจมส์กล้าที่จะไล่ตนออกจากบ้าน และตัดช่องทางทำมาหากิน ต้องลำบากขายทรัพย์สินที่มี และมาเช่าห้องเช่ารายเดือน เดือนละ 8,000 บาทอยู่ ทั้งที่เคยอยู่บ้านที่สร้างมาด้วยกัน ก็พอเข้าใจ


ด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่า แนวทางหลังจากนี้ทางมูลนิธิฯ จะมอบหมายให้ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานฯ เป็นผู้นัดเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ต้องถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล น่าจะสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ รวมถึงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินที่ทั้งคู่หามาร่วมกันในระหว่างที่อยู่กินด้วยกัน และเรื่องการรับผิดชอบลูกในครรภ์ ที่ทางฝ่ายชายจะต้องมาเซ็นรับรองบุตร ให้เด็กมีสัญชาติไทยเพื่อที่จะได้สิทธิ์ต่างๆ ในประเทศขั้นพื้นฐาน


ซึ่งระหว่างที่น.ส.ปุม ได้พูดคุยกับทางมูลนิธิฯ ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ รองประธานมูลนิธิรณรงค์ฯ ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังนายเจมส์ อดีตสามีของผู้เสียหาย ซึ่งทางนายเจมส์ได้รับสาย และพูดคุยสั้นๆ อ้างว่าจะขอติดต่อกลับมาทางมูลนิธิในช่วงเย็น ก่อนจะวางสายไป

คุณอาจสนใจ

Related News