เลือกตั้งและการเมือง

“อนุทิน” ย้ำอำนาจยุบสภาเป็นของนายกฯ ชี้ “อยากหนีก็หนี อยากอยู่ก็อยู่” เผยหลังประชุม คกก.ปราบสแกมเมอร์

20 ต.ค. 2568

400 views

“อนุทิน” ย้ำอำนาจยุบสภาเป็นของนายกฯ ชี้ “อยากหนีก็หนี อยากอยู่ก็อยู่” ส่วนปมแก้รธน. ขณะนี้เดินหน้าแล้วไม่ใช่แค่นับหนึ่ง เผยประชุม คกก.ปราบสแกมเมอร์ นัดแรก ดันเป็นวาระแห่งชาติ ใช้ยาแรงตัดเน็ตโดยไม่ต้องเสนอ สมช. ย้ำนักการเมืองเอี่ยว ต้องดำเนินการไม่สนชื่อ-ตำแหน่ง

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 20 ต.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลอาจยุบสภาก่อนครบอายุ 4 เดือนจริงหรือไม่ ว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี “ผมต้องมาบอกคุณเหรอว่าผมจะยุบเมื่อไหร่ เป็นอำนาจของผม ถ้าผมอยากจะหนีผมก็หนีถ้าผมจะอยู่ผมก็อยู่ ผมรู้ว่าวันสุดท้ายของผมคือวันไหน ถ้าผมดูแล้วรู้สึกไม่ไหวก็ยังมีอำนาจของนายกรัฐมนตรี”

เมื่อถามว่า ถ้ายังไม่ถึง 4 เดือนแล้วรัฐบาลไปต่อไม่ได้ จะดำเนินการเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าถึงวันนั้นก็ให้ประชาชนตัดสิน

เมื่อถามว่าพรรคประชาชนจะไม่โวยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเองก็พยายามรักษาสัญญาตาม MOA ที่ลงนามเอาไว้ แต่หากมีปัจจัยอื่นเกิดขึ้นก็ต้องช่วยกัน วันนี้เราผ่านวาระหนึ่ง ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาแล้ว ไม่ใช่แค่เริ่มนับหนึ่งแต่นับสามนับสี่แล้ว ถึงเวลาอันควรก็จะนำไปสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำว่า อำนาจนายกรัฐมนตรีก็ยังมีอยู่ หากไปไม่ไหวจริงๆ ก็คืนอำนาจให้พี่น้องประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ปฏิบัติทั่วไปในระบอบประชาธิปไตย

ต่อมา นายอนุทินเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.ท. อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

สำหรับบรรยากาศก่อนเข้าประชุม นายกรัฐมนตรี ได้ให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมนำเครื่องมือสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ ไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่พร้อมเก็บใส่ถุงพลาสติกด้านนอก เพื่อเป็นการยืนยันว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นความลับข้อมูลต้องไม่รั่วไหล

ภายหลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง นายอนุทิน แถลงผลการประชุมว่า เราได้ประชุมรวมกันเพื่อให้ทุกหน่วยได้รับทราบว่าขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก ดังนั้นรัฐบาลต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติเช่นกัน เพื่อให้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (21 ต.ค. 2568) เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ดำเนินการบูรณาการงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้ และเราได้รับทราบว่าหน่วยงาน แต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่มีบันทึกออกมาว่าได้จับกลุ่มยึดทรัพย์ ยึดเงิน ดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิดก็จำนวนมาก และมูลค่าเงินระดับหมื่นล้านบาท เพียงแต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน ขอย้ำกับประชาชนว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่นิ่งเฉยจะดำเนินการสั่งให้เข้มข้นมากขึ้น

ส่วนกระแสข่าวว่าขณะนี้สแกมเมอร์ มาตั้งสำนักงานในกรุงเทพมหานครแล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ทราบ มีอยู่ทั่วไปแต่ฐานหลักยังอยู่อีกฝั่ง วันนี้ทางเลขาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยืนยันว่าสัญญาณต่าง ๆ ที่ส่งไปฝั่งโน้นในทางตรงได้ปิดหมดแล้ว แต่เหมือนจะไปอ้อมหรือนำสัญญาณโรมมิ่งที่ไหนมาใช้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องขอความร่วมมือกับประเทศต้นทาง และต้องแจ้งทางกัมพูชาซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไข ที่ต้องพูดคุยเรื่องสันติ และทางกัมพูชาต้องดำเนินการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม

ส่วนกระแสข่าวตั้งนายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน แกะรอยหาความเชื่อมโยงถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มมิจฉาชีพ หรือเครือข่ายเงินทุนสีเทา นายอนุทิน กล่าวว่า ยัง ซึ่งตอนนี้ จะมีคณะอนุกรรมการไม่เกิน 5 ชุด โดยมีการเสนอเข้ามาหลายชุด อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงยุติธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะตั้งคณะอนุกรรมการแต่ละชุดและมาผนึกกำลังกัน ซึ่งยังไม่มีชื่อของใคร ให้อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นเลขาธิการของคณะกรรมการชุดนี้ ไปรวบรวมรายชื่อมาเสนอ และถูกแต่งตั้งโดย นายกรัฐมนตรี ซึ่งตนจะพิจารณาจากรายชื่อ

ส่วนจะมียาแรงออกมาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เลขาธิการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยืนยันว่า ขณะนี้ถ้าจะตัดหรือปิดสัญญาณ หรือไม่สนับสนุนพลังงานด้านใด ให้หน่วยงานต้นสังกัดสามารถดำเนินการหยุดให้บริการหรือหยุดให้การสนับสนุน หรือหยุดซัพพลาย ของสิ่งที่จะไปทำให้คนทำผิดกฎหมายได้ทันที เพราะมีมติคลุมเรื่องไว้แล้ว ซึ่งถือเป็นยาแรง และสั่งให้ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องรอ

ถ้าเป็นการทำให้เป็นการไปสนับสนุนก็สามารถตัดได้เลย ไม่ต้องรอประชุม สมช.โดยในพื้นที่หลักๆ คือฝั่งขวาก่อน

ขณะที่การดำเนินการเรื่องกระแสข่าว 7 นักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้อง นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อวานนี้ ก็นั่งรออยู่ว่าเมื่อไหร่จะมาจากต้นตอของข่าว แต่กลายเป็นว่าสถานเอกอัคราชทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นข่าวไม่จริง แต่เราต้องเฝ้าระวังไว้ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลหลักฐาน เส้นทางการเงิน เรามีทั้ง ป.ป.ง. สตช. ติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาเป็นว่า

“ยืนยันว่า จะไม่ดูว่าชื่ออะไรหรือตำแหน่งอะไร ถ้าพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำผิดอย่างชัดเจน ถ้ามีหลักฐานของการกระทำผิดขึ้นมา ไม่ดูชื่อ ใครผิดก็ต้องดำเนินการ” นายอนุทินกล่าว

จากการประชุมมีข้อมูลอะไรที่นายกรัฐมนตรียังไม่เคยทราบและตกใจบ้าง นายอนุทิน ระบุว่า มีผู้กระทำผิดที่ถือสัญชาติไทย และถือสัญชาติอื่น ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับที่เคยเป็นข่าวว่าตนไม่อนุมัติสัญชาติไทยให้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตนได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงไทย และอธิบดีกรมการปกครองดำเนินการ เรื่องการถอนสัญชาติ พร้อมระบุว่า คนถือ 2 สัญชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาขอสัญชาติไทย แต่ถือสัญชาติอื่นก็ไม่ต้องไปดูพฤติกรรมอื่น ตรงนี้ก็ผิดอยู่แล้ว และย้ำว่า เป็นบุคคลที่เชื่อมโยงกับสแกมเมอร์และเครือข่ายอื่นๆ

ส่วนจะต้องขอรายชื่อ 7 นักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ จากการเปิดเผยของฝ่ายค้านหรือไม่นั้น นายอนุทิน ระบุว่า หากมีข้อมูลขอให้เปิดเลย จะได้ง่ายไม่ต้องไปคาดเดาหรือดำเนินคดีใครแบบผิดๆ ถูกๆ ยิ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบยิ่งต้องทำ ไม่ต้องรอการอภิปราย

ส่วนจะเป็นข้อมูลสำคัญพิจารณาปราบปรามหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า หากพฤติกรรมผิดกฎหมาย เชื่อมโยงกับใครก็ต้องดำเนินคดี เพราะวันนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติ เพราะหากไม่ดำเนินการก็จะทำให้การเจรจากับนานาประเทศนั้นเสียเปรียบ

นอกจากนี้ นายอนุทิน เปิดเผยว่าในที่ประชุมร้องขอให้เพิ่มคณะกรรมการ ทั้งอัยการสูงสุด อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ รวมทั้งปลัดกระทรวงอื่นๆ ตนเองได้ให้เลขาธิการยกร่างคำสั่งดังกล่าวมาพิจารณาแล้ว และจะมีการประชุมตามวาระที่เราจำเป็นต้องประชุม

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวขยายความถึงการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต ว่า ได้มีการตัดสัญญาณที่ส่งไปยังเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา รวมถึงฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งมีการร้องเรียนเรื่องสแกมเมอร์ โดยนายกฯได้สอบถามเลขา สมช. ถึงสาเหตุว่าทำไมถึงตัดล่าช้าในครั้งที่แล้ว โดย สมช.แจ้งว่าต้องรอเข้าที่ประชุม สมช. และมติครั้งนั้นก็มีผลให้ดำเนินการต่อเนื่อง หากมีอีกก็สามารถดำเนินการได้เลย นอกจากนี้ นายกฯ ยังให้ กสทช. เป็นผู้ดำเนินการหลัก และจะต้องไปนำข้อมูลมา ไม่มีการจำหน่ายให้กลุ่มสแกมเมอร์ หรือในพื้นที่เฝ้าระวัง ส่วนกลางตัดอินเตอร์เน็ตที่เมืองปอยเปต ยืนยันว่าเริ่มตั้งแต่ที่มีการเกิดสถานการณ์ชายแดน

ส่วนกลุ่มคนที่เข้าข่ายเกี่ยวพันกลุ่มสแกมเมอร์ ที่ตำรวจและ ปปง.เสนอมา ก็ให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาเพิกถอนเพิกถอนสัญชาติ เป็นข้อสั่งการของนายกฯ



คุณอาจสนใจ

Related News