เลือกตั้งและการเมือง

“เรืองไกร” จ่อร้อง กกต.ตรวจสอบคลิปเสียง “ฮุนเซน” เป็นเหตุให้ “แพทองธาร” พ้นจากนายกรัฐมนตรีหรือไม่

โดย nicharee_m

18 มิ.ย. 2568

279 views

“เรืองไกร” จ่อร้อง กกต.ตรวจสอบ “แพทองธาร” ปมคลิปเสียง “ฮุนเซน” ว่ามีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เป็นเหตุให้พ้นจากนายกรัฐมนตรีหรือไม่

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.68 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า พรุ่งนี้เวลา 09.30 น. จะไปยื่นหนังสือเพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ปรากฏข้อเท็จจริงตามสื่อมวลชนต่าง ๆ ที่เป็นข่าวเกี่ยวกับข้อความสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) กับ สมเด็จฮุนเซน โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 68 ซึ่งข้อเท็จจริงในการสนทนาได้มีการยอมรับจากนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) กับ สมเด็จฮุนเซน ว่าเป็นคลิปเสียงจริง ซึ่งสาระสำคัญที่สนทนานั้น อาจส่อไปในทางที่ทำให้เห็นได้ว่านายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) อาจเข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และอาจเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ซึ่ง กกต. มีอำนาจตรวจสอบกรณีดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ได้แนบตัวอย่างข้อเท็จจริงจากข่าวมีปรากฏโดยทั่วไป มาให้ กกต. ด้วยแล้วนั้น

ข้อ 2. เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 21/2567 ไว้บางส่วน ดังนี้

“...เพราะความหมายของคําว่า  “ซื่อสัตย์”  และคําว่า  “สุจริต”  มิใช่เป็นเพียงเรื่องการกระทำทุจริต หรือประพฤติมิชอบเท่านั้น  แต่ต้องเป็นการกระทำให้วิญญูชนทั่วไปที่ทราบพฤติการณ์หรือการกระทำนั้นแล้ว ยอมรับว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จึงจะถือได้ว่า  เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”

ข้อ 3. บทสนทนาตามคลิปเสียงที่ปรากฏนั้น อาจทำให้นายกรัฐมนตรีเข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ตามมาได้

ข้อ 4. มาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 8 และข้อ 17 กำหนดว่า

“ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ”

“ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง”

ข้อ 5. กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. ตรวจสอบข้อความในคลิปเสียงดังกล่าวว่าจะเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป้นที่ประจักษ์ หรือไม่

ข้อ 6. ทั้งนี้ ขอให้นำคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ คมจ.2/2566 ที่วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า “...จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง ตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 ... ทั้งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบกระทบต่อภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้คัดค้านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... เพราะอาจทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... จึงเป็นการก่อให้ความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 ...”

นายเรืองไกร กล่าวว่า พรุ่งนี้จะไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง เนื่องจากมีนัดไปให้ถ้อยคำต่อ กกต. ในกรณีอื่นไว้แล้ว

คุณอาจสนใจ

Related News