เลือกตั้งและการเมือง

“เรืองไกร” ร้อง ป.ป.ช. ไต่สวน “ภูมิธรรม” ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่

โดย nicharee_m

4 ก.ย. 2568

37 views

“เรืองไกร” ร้อง ป.ป.ช. ไต่สวน “ภูมิธรรม” ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ ปมยื่นยุบสภาฯ โดยมิชอบ

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2568 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ และหาก ป.ป.ช. ตรวจสอบไต่สวนแล้ว มีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไปโดยเร็ว

นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้เข้าข่ายมีพยานหลักฐานอันควรขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบในเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ก่อน โดยในคำร้องมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมคำขอเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย หัวข้อ “ภูมิธรรม” เผยความไม่ชัดเจนทางการเมืองสร้างความสับสนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เห็นควรคืนอำนาจให้ประชาชน ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ลงข่าวไว้ดังนี้

วันนี้ (3 ก.ย. 68) เวลา 10.35 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยกำลังเผชิญกับความบิดเบี้ยว โดยการตัดสินใจจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลนั้น ส่งผลให้การเมืองแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนอยู่ในสถานะทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บรรยากาศทางการเมืองเกิดความไม่ชัดเจน เกิดการดึงตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงมีปัญหา หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศได้ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบและเผชิญกับปัญหารุมเร้าเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกัน โดยเฉพาะในมุมมองของฝ่ายกฎหมาย มีความเห็นตรงกันว่าควรคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือเป็นพระราชอำนาจ จึงไม่มีบุคคลใดมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง และต้องขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยในสถานการณ์ต่าง ๆ

“ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและรวบรวมความคิดเห็นต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เห็นควรนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อถวายรายงานสถานการณ์ให้ทรงทราบ เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม จะต้องรอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา หัวข้อ ’ภูมิธรรม’ ไม่ให้สัมภาษณ์! สะพัดสำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’ มีข้อขัดแย้งทางกม. ลงข่าวไว้ดังนี้

สะพัด! สำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’ เหตุยังมีข้อขัดแย้งทางกม.-ไม่เป็นไปตามระเบียบ ขณะกฤษฎีกาทำความเห็นประกอบไปแล้ว รัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลได้ - ’ภูมิธรรม’ ไม่ให้สัมภาษณ์

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าวันนี้ (3 กันยายน) สำนักองคมนตรีในฐานะหน่วยงานกลั่นกรองหนังสือและถวายความเห็นประกอบกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและทรงลงพระปรมาภิไธย ได้ส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกากลับมาให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

โดยมีหนังสือนำส่งกลับคืนมาระบุว่า การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำความเห็นประกอบว่า รัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ได้ จึงไม่สามารถกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้

ขณะที่ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำรายงานให้นายภูมิธรรม ในฐานะผู้กราบบังคมทูลทราบแล้ว โดยนำเสนอหนังสือของสำนักองคมนตรีไปให้ทราบด้วย

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภากราบบังคมทูลนั้น ปกติจะทำผ่านสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่าในการนำเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาครั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเองโดยตรง

ต่อมาเวลา 17.20 น. นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากทำเนียบ โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังมีกระแสข่าวถูกตีกลับพ.ร.ฎ.ยุบสภา

ข้อ 3. ข้อเท็จจริงดังกล่าว อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 ที่บัญญัติว่า

“มาตรา ๑๘๖ ให้นำความในมาตรา ๑๘๔ มาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม เว้นแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(๑) การดำรงตำแหน่งหรือการดำเนินการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่หรืออำนาจของรัฐมนตรี

(๒) การกระทำตามหน้าที่และอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ

นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่กำหนดในมาตรฐานทางจริยธรรม”

ข้อ 4. ข้อเท็จจริงตามข่าวดังกล่าว จึงมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป มีการใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่กำหนดในมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่

ข้อ 5. มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อที่อาจเกี่ยวข้อง มีดังนี้

“ข้อ ๗ ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน”

“ข้อ ๘ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ”

“ข้อ ๑๑ ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”

“ข้อ ๑๒ ยึดมั่นหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน”

“ข้อ ๑๓ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นอิสระ เป็นกลาง และปราศจากอคติ โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพล กระแสสังคม หรือแรงกดดันอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ”

“ข้อ ๑๕ ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน”

“ข้อ ๑๗ ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง”

“ข้อ ๒๑ ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม”

ข้อ 6. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 บัญญัติว่า

“มาตรา ๘๗ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมอง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย

การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง และการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว

ให้นำความในมาตรา ๘๑ และมาตรา ๘๖ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม

การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการในศาลแทนได้”

ข้อ 7. ดังนั้น จากข้อเท็จจริงตามข่าวดังกล่าว จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าการนำความกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 และต่อมาปรากฏข่าวว่าสำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’ เหตุยังมีข้อขัดแย้งทางกม.-ไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ นั้น มีข้อเท็จจริงเช่นนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ขอให้ ป.ป.ช. เรียกพยานเอกสารหลักฐานจากสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มาประกอบการพิจารณาโดยด่วนด้วย

ข้อ 8. หาก ป.ป.ช. ตรวจสอบไต่สวนแล้ว มีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรม ในข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันเนื่องมาจากการการนำความกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นั้น ขอให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการไต่สวนและมีคามเห็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไปโดยเร็ว

ข้อ 9. อนึ่ง แม้ต่อมานายภูมิธรรม เวชยชัย จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม ป.ป.ช. ก็ต้องไต่สวนต่อไป เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคสาม บัญญัติไว้ส่วนหนึ่งว่า ให้ผู้ต้องคำพิพากษาต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีจริยธรรมที่ผ่านมา ก็ได้มีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปด้วย

คุณอาจสนใจ

Related News