สังคม

'ลุงพล' ตอบปม 'ทนายตั้ม' เรียก 3 ล้าน ค่าทำคดีน้องชมพู่ - 'บิ๊กโจ๊ก' ปัดส่งลูกน้องอำนวยความสะดวกทนายตั้ม

โดย passamon_a

6 เม.ย. 2566

96 views

'ลุงพล' เปิดปาก กลุ่มแฟนคลับบอก 'ทนายตั้ม' เรียกเงินค่าทำคดีน้องชมพู่ 3 ล้าน ด้าน 'ทนายอั๋น' ยื่น DSI สอบเส้นทางการเงินทนายตั้ม ขณะที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ยอมรับสนิท ชูวิทย์-ทนายตั้ม ไม่เกี่ยวความขัดแย้งทั้งคู่ ไม่หนักใจถูกพาดพิง ยืนยันไม่มีการส่งลูกน้องไปดูแลทนายตั้มตามที่มีกระแสข่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี ลุงพล หรือ นายไชย์พล วิภา คนดังแห่งบ้านกกกอก ที่ออกมายอมรับหลังให้สัมภาษณ์ผ่านรายการช่องโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ว่ามีการเรียกเก็บค่าวิชาชีพทนายความจริง แต่ไม่ทราบว่าจำนวนเท่าไหร่


วานนี้ (วันที่ 5 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ถึงกรณี เรื่องทนายตั้มได้เรียกเก็บค่าว่าความกับลุงพล 3 ล้านบาท เกี่ยวกับคดีน้องชมพู่ โดยลุงพล ระบุว่า เรื่องนี้เป็นการตกลงค่าวิชาชีพเป็นการตกลงกับ ทนายตั้ม กับแฟนคลับผู้ใหญ่ใจดี ตอนแรกทนายเรียกเก็บ 3 ล้านบาท แต่ทางผู้ใหญ่ใจดีต่อรองมาเหลือ 2 ล้าน โดยวิธีการจ่ายเงินนั้น ส่วนตัวไม่มีข้อมูลและไม่ทราบเลยว่าจ่ายกันผ่านทางไหน


ส่วนเรื่องที่มีกระแสเรื่องการแตกกันระหว่างลุงพล กับทนายตั้ม ว่า หากมีผู้ใหญ่ใจดีจ่ายเงินครบ 2 ล้านบาทแล้ว เงินส่วนต่างขอนำมาเป็นทุนการศึกษาของลูก ส่วนนี้ลุงพลตอบว่า เป็นการตกลงระหว่างแฟนคลับผู้ใหญ่ใจดีและทีมทนาย ว่ามีการโอนจ่ายเงินค่าวิชาชีพเกิน 2 ล้านบาท ส่วนเงินที่เกินจากนั้น ผู้ใหญ่ใจดีขอเป็นทุนการศึกษาของลูกลุงพล


ส่วนช่วงแรกที่ทนายตั้มได้มาบ้านกกกอก ขออาสาเป็นทนายให้ลุงพลนั้น ลุงพลไม่ได้จ่ายค่าวิชาชีพใด ๆ นอกจากค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าที่พักเท่านั้น ตอนที่มามุกดาหาร


ส่วนเรื่องเงิน 5 แสนบาทนั้น ที่ทนายอั๋นได้ออกมาแฉทนายตั้ม ส่วนตัวไม่ทราบว่าเงินนั้นเป็นเงินอะไร เพราะการโอนเงินเข้ามูลนิธิฯ ไม่รู้ว่าเขาโอนกันกี่วัน ครั้งละเท่าไหร่ ไม่ทราบจริง ๆ


ด้าน นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เนื่องจากพบว่า งบดุลบริษัท Sittra Law Firm ของทนายตั้ม มีงบดุลขาดทุมสะสมมาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของทนายตั้มและครอบครัว ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราอย่างมาก


โดยทนายอั๋นได้นำหนังสือพร้อมหลักฐาน เป็นภาพการใช้ชีวิตหรูหรา สวมใส่เสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนม ไปท่องเที่ยวต่างประเทศที่ถูกโพสต์ลงสาธารณะผ่านเฟซบุ๊กของทนายตั้ม รวมถึงเอกสารบัญชีงบดุลของบริษัทที่สืบค้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งพบว่ามีผลประกอบการขาดทุนตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มาเป็นหลักฐานให้กับดีเอสไอ โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ


โดย ทนายอั๋น เปิดเผยว่า ตามเอกสารบัญชีงบดุลดังกล่าวที่เปิดเผยในเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าตั้งแต่ปี 2561-2564 พบว่าขาดทุนสะสมทุกปี รวม 470,000 บาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตหรูหรา อยู่สบายของทนายตั้ม ที่มีทั้งทำตัวไฮโซ มีรถหรู มีคฤหาสน์ราคา 60 ล้าน ซื้อสินค้าแบรนด์เนมครั้งละหลายล้านบาทที่ต่างประเทศ สะสมนาฬิกายี่ห้อดังมูลค่าหลายล้านบาทเช่นกัน ทำให้ตนเองเกิดข้อสงสัยว่า ทนายตั้มมีรายได้พิเศษจากทางใดอีกหรือไม่ นอกเหนือจากรายได้บริษัท รวมถึงการแสดงงบดุลรายได้รายจ่ายของบริษัทที่ส่งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่


ดังนั้นจึงอยากให้ DSI ตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายษิทรา ทั้งรายได้บริษัท Sittra Law Firm จำกัด รายได้ส่วนตัว และรายได้จากมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ของทนายตั้ม ทั้ง 3 แหล่งว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เข้าลักษณะร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ หรือมีรายได้จากช่องทางใดที่ผิดกฎหมายหรือไม่


พร้อมยืนยันว่า ไม่กังวลหากทนายตั้มจะฟ้องกลับ และแม้ว่าจะยังไม่มีความผิดมูลฐานที่ ปปง. จะรับเรื่อง แต่การมายื่นกับ DSI ครั้งนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งหาก DSI ไม่พบความผิดปกติ ก็จะเป็นผลดีกับทนายตั้มเอง แต่หากพบรายได้ที่ผิดปกติ ก็จะเป็นผลดีต่อสังคม "พร้อมขอให้สังคมจับตาดูงบดุลบริษัทปี 2565 ของ Sittra Law Firm ที่จะมีการยื่นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ว่าจะขาดทุนเช่นเดิม หรือมีเงิน 200-300 ล้านบาทปรากฎเข้ามาในบริษัท และถ้าหากมี ก็อยากทราบว่าเงินดังกล่าวมีที่มาอย่างไร ส่วนกรณีข้อสงสัยว่าจะทนายตั้มจะมีเงินสีเทาตามที่นายชูวิทย์ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้หรือไม่ ตนไม่ทราบ ขอให้ไปสอบถามนายชูวิทย์เองจะดีที่สุด"


ส่วนกรณีที่ทนายตั้ม ระบุว่าเรียกรับเงิน 300,000 บาท เป็นค่าเสี่ยงภัยในการแถลงข่าว เนื่องจากอาจจะถูกฟ้องนั้น ทนายอั๋นกล่าวว่า การที่ทนายตั้มบอกว่ามีค่าเสี่ยงภัย แสดงว่าสิ่งที่ทนายตั้มทำนั้น เป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ และทนายตั้มกำลังนำลูกความไปทำสิ่งผิดกฎหมายถึงต้องเสี่ยงภัยหรือไม่ เพราะตนเองยังแถลงข่าวได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวใด ๆ หากเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย ดังนั้น การที่ทนายตั้มเรียกรับเงินเช่นนี้ จะเข้าข่ายผิดมรรยาททนายความหรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ไปยื่นให้คณะกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ ตรวจสอบการกระทำของทนายตั้มแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาติดตามความคืบหน้าสักพัก โดยตนจะโทรไปตรวจสอบความคืบหน้ากับสภาทนายความทุกสัปดาห์


ส่วนกรณีสลิปโอนเงิน 500,000 บาท ที่มีกระแสข่าวว่าแฟนคลับลุงพล จากต่างประเทศโอนเงินเข้ามูลนิธิของทนายตั้มนั้น ทนายอั๋นระบุว่า จากหลักฐานที่ตนเองมี ประกอบที่ลุงพลออกมายอมรับผ่านรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ก็ยืนยันได้ว่าแฟนคลับลุงพลมีการโอนเงินจริงในค่าช่วยเหลือคดี จากตอนแรก 3 ล้านบาท ต่อรองเหลือ 2 ล้านบาท แต่มีการโอนจริงในเงินก้อนนี้เท่าไหร่ตนและลุงพลยังไม่ทราบยอด ส่วนเงิน 500,000 บาท ที่ตนออกมาเปิดเผยนั้น ก็เป็นค่าให้ทนายตั้มเดินทางลงพื้นที่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน แต่ย้ำว่า ทนายตั้มเรียกรับเงินจริงจากคำพูดของลุงพล สวนทางกับที่ทนายตั้มกล่าวอ้างว่าตนไม่ได้เงินสักบาทจากคดีลุงพล


ขณะที่ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ตอนนี้ทาง DSI ได้รับหนังสือมาแล้ว แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่พิจารณาจามกระบวนการก่อนว่าจากข้อเท็จจริงในหนังสือ จะสามารถรับเรื่องมาพิจารณาได้หรือไม่ เพราะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีความผิดเข้าข่ายหรือเข้าหลักเกณฑ์ที่อยู่ในอำนาจสอบสวนของ DSI หรือไม่อย่างไร


อีกด้าน พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาโพสต์ข้อความในเชิงว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม มีความสนิทสนมกับตัวเองว่า เรื่องนี้ยอมรับว่ามีความสนิทสนมกันจริง แต่ก็สนิทสนมทั้งสองฝ่าย นายษิทราก็มาหาตนเองที่สโมสรตำรวจอยู่บ่อยครั้ง และตนก็ไปกินข้าวกับนายชูวิทย์หลายครั้งเช่นกัน แต่ปัญหาเรื่องความขัดแย้งไม่ถูกกันของคน 2 คน ตนไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนจะมีการพูดพาดพิงมาถึงตน ก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้หนักใจอะไร


นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าไม่มีการส่งลูกน้องไปดูแลทนายตั้ม ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ เพราะทนายตั้มไม่มีอะไรต้องดูแลอยู่แล้ว เป็นทนายความ ไปได้ไกล แต่วันนี้ก็แย่หน่อย เพราะกระแสสังคมจะไปเชื่อชูวิทย์มากกว่า


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะมีการไปเป็นกาวใจให้ทั้งสองฝ่ายได้เคลียร์ใจกันหรือไม่นั้น พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า ยังไม่มีการติดต่อมาจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคน 2 คน ตนเองไม่อยากเข้าไปยุ่ง ให้ทั้ง 2 คนเคลียร์ใจเคลียร์ปัญหากันเอง


ขณะเดียวกัน ที่มีกระแสข่าวว่าทนายตั้มเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ด้วยนั้น พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า เรื่องนี้ตนเองไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจไซเบอร์ ตอนนี้ตนเองมาควบคุม กำกับดูแลในส่วนของปราบปราม แต่ย้ำว่าหากพบว่ามีความเชื่อมโยงก็ต้องดำเนินการว่าไปตามกฎหมาย แม้จะรู้จักกันก็ตาม


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/unkUwn73gRQ

คุณอาจสนใจ