สังคม

ชาวบ้านพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณในที่นาตัวเอง กรมศิลปากร เผย อายุประมาณ 2,500-1,500 ปี

โดย kanyapak_w

21 มี.ค. 2566

8.1K views

วันที่ 21 มีนาคม 2566 นายดุสิต ทุมมากร ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปากร และนักโบราณคดี ร่วมกันลวพื้นที่ตรวจสอบโครงมนุษย์ที่ชาวบ้านพบในที่นาของนางสาว ณัฐกาณฑ์หรือวิ อายุ 52 ปี ต.แวงน้อย อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ซึ่งมีที่นา อยู่ทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้านแวงน้อย



ซึ่งทันที ที่เจ้าหน้าที่ศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น ลงพื้นที่ก็ได้ทำการสำรวจความสมบูรณ์ของโครงการดูกมนุษย์ โดยได้ทำการวัดโครงร่างของกระดูกพบว่ายาว 2 เมตร ยังมีฟันล่างและฟันบนที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังทำการแยกวัตถุโบราณที่แตกเป็นชิ้นส่วน ที่มีทั้งหม้อ กระเบื้องและเครื่องมือ รวมถึงเศษกระดูกสัตว์ เพื่อนำเก็บไปรักษาที่ สำนักงานศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น



นายดุสิต ทุมมากร ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปากร กล่าวภายหลังพิสูจน์สภาพโครงกระดูกมนุษย์ว่า จากการสอบถามเจ้าของพื้นที่นาทราบว่า มีทั้งหมดจำนวน 12 ไร่ 2 งาน แต่ในพื้นที่ที่พบโครงกระดูกนั้นมีพื้นที่ประมาณหนึ่งไร่ ส่วนโครงกระดูกที่พบเป็นโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคเหล็กอายุประมาณ 2,500 ปี ถึง 1,500 ปี และพบเศษเครื่องปั้นดินเป็นหม้อดินมีลายเชือกทาบ และหินดุที่ใช้สำหรับทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งไม่ได้หนาแน่นมาก แสดงว่าการปรับไถดินครั้งนี้อาจจะยังไม่ถึงระดับที่เจอวัตถุโบราณมาก แต่ถ้าขุดลงไปอาจจะเจออีก



“ตอนนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าของที่นาว่าให้พอแล้วสำหรับการปรับไถเพื่อจะรักษามรดกทางศิลปะวัฒนะธรรมของชาติที่สำคัญอันนี้ไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาต่อไป เพราะตรงนี้เป็นเนินดินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 500 เมตรแต่บางส่วนบริเวณชายเนินถูกปรับเป็นที่นาไปแล้วเหลือแต่ยอดเนินซึ่ง ทางเจ้าของที่ดินก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งทางราชการ กำลังงับการปรับไถให้พอเท่านี้ก่อน



นายดุสิต ทุมมากร ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี กล่าวอีกว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นชุมชนโบราณเป็นบ้านเมืองโบราณของบรรพชนคนไทยที่อาศัยอยู่ตรงนี้เมื่อประมาณ 2,500 ถึง 1,500 ปีมาแล้วในสมัยที่เราเรียกว่ายุคกรีกในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ทั้งนี้การดูแลรักษาส่วนนี้ ศิลปากรขอนแก่น ได้รับงบประมาณ จากกรมศิลปากร 800,000 บาทเพื่อทำการสำรวจเมืองโบราณชุมชนโบราณในเขตจังหวัดขอนแก่นได้เริ่มงานมาตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ประมาณสี่เดือนแล้ว ซึ่งเมื่อพบก็จะนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดนี้ไปศึกษาวิเคราะห์เพื่อจัดระดับความสำคัญก่อนหน้าหลังว่าชุมชนไหนที่มีความสำคัญและมีลักษณะโดดเด่นและจะทำการศึกษาพัฒนาต่อ ซึ่งก็หมายความว่าทางกรมศิลปากรให้ความสำคัญกับชุมชนเหล่านี้มากโดยเฉพาะชุมชนแห่งนี้เป็นตัวอย่างอย่างหนึ่งที่เราเห็นเพราะเนินแบบนี้เลยและต้องยอมรับว่าภาคอีสาน มีเยอะมากโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเกือบทุกเนินมักจะเป็นของเหล่านี้



มักจะมีผู้ไม่หวังดีกลุ่มค้นหาของเก่ามักจะเข้ามาหาลักขุด โดยนำเอาเครื่องตรวจโลหะเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดไปหาซึ่งตามหมู่บ้าน แต่ถ้าชาวบ้านเจอคนมีลักขุดก็ให้แจ้งสำนักศิลปากรที่8 ขอนแก่นจะดำเนินการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้นถือว่าเป็นบุคคลที่ได้ทำลายมรดกศิลปวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถือว่านะบ้านแวงน้อยแหล่งนี้ ถือว่าเป็นตัวอย่างซึ่งเราจะเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลและจะหาแนวทางศึกษาวิจัยต่อไป



ส่วนกรณีการที่ชาวบ้านมาขอโชคลาภหรือมาเหยียบย่ำ คงต้องให้ความรู้กับชาวบ้านและต้องบอกประชาชนว่านี่คือหลักฐานที่แสดงถึง บรรพชนของคนไทย ในเมื่อท่านเป็นบรรพชนของเราเราก็ต้องควรจะเคารพตอนนี้ดอกไม้หรือเครื่องบูชาถือว่าเป็น ประเพณี วัฒนธรรม ของ คนไทยซึ่งถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีซึ่งหมายถึงว่ายังระลึกถึงบรรพชนของเราอยู่แต่เพียงแต่ว่าต้องจัดสรรให้เหมาะสมให้คนเดินเป็นระเบียบ ให้อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมอย่าไปเหยียบย่ำใกล้ๆ วัตถุโบราณต้องการขอบเขตพื้นที่ให้เหมาะสมชัดเจนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีก็น่าจะสามารถ กระทำได้ไม่น่าจะมีปัญหา



ส่วนโครงกระดูกที่พบนั้น ยังตอบไม่ได้ว่าเพศหญิงหรือเพศชาย เพราะโครงกระดูกค่อนข้างชำรุดมาก อาจเพราะกาลเวลาหรือมีการชำรุดมาจากอดีตไม่ใช่การชำรุดจากการค้นพบ อาจถูกแรงกดของแผ่นดินทำให้แบนมากโครงกระดูกผุมากต้องขอเวลาวิเคราะห์



ในขณะที่นางสาว ณัฐฐกาณฑ์หรือวิ อายุ 52 ปี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปากร ลงพื้นที่มาตรวจสอบจนทราบว่า โครงกระดูกที่พบในที่นานั้น เป็นกระดูกของบรรพบุรุษของเรา ก็จะดูแลรักษา และไม่ให้ใครเข้ามาขุดหรือทำลายให้เสียหาย และถ้ามีใครจะเข้ามาชมก็จะต้องแจ้งให้ทราบก่อน ส่วนการทำนานั้นก็ยังจะทำต่อไป แต่การขุดเนินดินในบริเวณนานั้นจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ และจะรักษาทรัพยสินบริเวณดังกล่าวให้ดีที่สุด



ทางด้านนางทองคูน อายุ 81 ปี ชาวบ้านแวงน้อยหมู่ 1 เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังถึงประวัติพื้นที่จุดนี้ว่า ตนเองเป็นลูกหลานที่บ้านนี้ตั้งแต่เกิด ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับโนนสาวเอ้หรือเนินดิน จุดที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ซึ่งคำว่านูนก็จะเป็นลักษณะเหมือนกับบริเวณนั้นเป็นหมู่บ้านเป็นที่สูงที่คนสมัยก่อนจะเลือกเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัยเปรียบเหมือนหมู่บ้านในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนเองได้ยินจากปากของพ่อตา ซึ่งพ่อตาก็เล่าสืบต่อกันมาจากพ่อของพ่อตาอีกที บอกว่าที่คนเรียกว่าโนนสาวเอ้นั้นเหตุผลเพราะจะมีผู้หญิงทั้งในหมู่บ้านและจากต่างหมู่บ้านจากโนนต่างๆมาแต่งตัวกันอยู่ที่บริเวณนี้รวมทั้งมาพักผ่อนหลับนอนซึ่งการแต่งตัวก็จะแต่งตัวให้ดูดีสามารถไปอวดเอ้ตามงานบุญ งานมหรสพรื่นเริงต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงอีกหลายโนน แต่โนนสาวเอ้นี้จะไม่มีงานบุญจะเป็นที่สำหรับแต่งตัวของสาวสาวโดยเฉพาะ ต่างจากโนนอื่นที่มีงาน จนเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วหลานจนถึงปัจจุบัน



นางทองคูน ยังกล่าวหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มาตรวจสอบยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์บรรพบุรุษอายุหลายพีนปี ว่ารู้สึกดีใจที่เป็นไปตามประสงค์ของบรรพบุรุษที่อยากจะขึ้นมาเพื่อให้ลูกหลานได้ทำบุญไปสู่สุคติและสิ่งที่อัศจรรย์คือเหมือนกับผีบรรพบุรุษนั้นรอคอยลูกหลานมาจึงจะยอมขึ้นมาให้เห็น และที่ดินในบริเวณนี้ไม่มีใครสามารถซื้อได้จนกระทั่งเจ้าของที่นาคือคุนางวิมาติดต่อขอซื้อและสามารถซื้อสำเร็จไปได้ด้วยดีโดยไม่มีอุปสรรค ซึ่งหลังจากซื้อก็ไม่ได้กลับมาอยู่ที่ที่นาผืนนี้แต่ไปอยู่ที่ต่างประเทศใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศหลายปีก่อนจะกลับมาร่วมงานบวชลูกชาย และมาพบโครงกระดูกโบราณ



ในบริเวณนี้มีร่างทรงเข้ามาที่นางวิว่าบรรพบุรุษของนางวิ เห็นลูกสาวกลับมาเมื่อผีบรรพบุรุษเห็น ก็อยากจะให้ลูกสาวนำขึ้นมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และมาชี้จุด ที่ขุด ก็พบโครงกระดูกทันที ทำให้นางวิและชาวบ้านที่นี่เชื่อว่านางวินั้นเป็นลูกสาวของบรรพบุรุษจริงๆที่รอคอยให้นางวิมาพาขึ้น และในช่วงที่รถแม็คโครมาขุดนั้นก็เกิดสิ่งอัศจรรย์คือมีอีกาสองตัวมาจับที่ขารถแม็คโครไม่ให้ทำงาน เพราะรถขุดกำลังขุดบริเวณที่พบโครงกระดูกแต่พอเลื่อนไปขุดที่อื่น อีกาเรานั้นก็บินหายไป จึงยิ่งทำให้เชื่อว่านางวินั่นคือลูกสาวจริงๆของบรรพบุรุษที่จะพาโครงกระดูกขึ้นมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้




คุณอาจสนใจ