ต่างประเทศ

รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” หลังวุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินได้

1 ต.ค. 2568

180 views

รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เผชิญภาวะ “ชัตดาวน์” อย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังวุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินได้ก่อนเที่ยงคืน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐหลายแสนคนต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และส่งผลกระทบกับบริการและโครงการต่างๆ ของรัฐบาล

เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เข้าสู่ภาวะปิดทำการ หรือ ชัตดาวน์อย่างเป็นทางการ โดยทำเนียบขาวได้ประกาศบนเว็บไซต์ว่า “พรรคเดโมแครตได้ทำการชัตดาวน์รัฐบาลแล้ว” พร้อมกับมีการนับเวลาด้วย

การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่วุฒิสภา มีมติ 55 ต่อ 45 เสียง ซึ่งยังไม่ถึง 60 เสียงตามที่ต้องการ ในการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินของพรรครีพับลิกันที่จะช่วยให้รัฐบาลดำเนินงานต่อไปได้ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน โดยพรรคเดโมแครตคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว

ต้นตอของความขัดแย้งครั้งนี้คือ "ประเด็นสุขภาพ" พรรคเดโมแครตยืนกรานว่าร่างกฎหมายงบประมาณจะต้องพ่วงการต่ออายุโครงการสิทธิประโยชน์ด้านประกันสุขภาพที่กำลังจะหมดอายุลงไปด้วย ไม่เช่นนั้น ชาวอเมริกันราว 24 ล้านคนอาจต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของทรัมป์และพรรครีพับลิกันต้องการให้แยกประเด็นดังกล่าวออกจากการพิจารณางบประมาณ และมองว่าเดโมแครตกำลังเล่นเกมการเมืองด้วยเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวกัน ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า

แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา แต่ตามกติกาปัจจุบัน รีพับลิกันยังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านได้

นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวว่าสิ่งที่พรรครีพับลิกันต้องการคือการข่มขู่พรรคเดโมแครตและพวกเขาจะไม่มีวันสำเร็จ

ด้านนายจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่าร่างกฎหมายงบประมาณที่ล่มไปนั้นเป็น "มาตรการที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" และเป็นสิ่งที่เดโมแครตเคยยอมรับได้มาตลอดในอดีต แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ขณะนี้ยังไม่มีทางออกจากทางตันที่ชัดเจน แต่หน่วยงานต่างๆ ออกมาเตือนว่า การชัตดาวน์นี้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้หน่วยงานรัฐบาลต้องหยุดการดำเนินงานทั้งหมด ยกเว้นหน่วยงานที่จำเป็น เช่น การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบการดำเนินงานของรัฐบาลในหลายๆ ด้าน เช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์, การเดินทางทางอากาศ, และการจ้างงาน คาดว่าการชัตดาวน์นี้จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐกว่า 750,000 คนถูกสั่งพักงาน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าถึงวันละ 400 ล้านดอลลาร์

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อทรัมป์ออกมาเติมเชื้อไฟ โดยขู่ว่าจะยกเลิกโครงการที่พรรคเดโมแครตสนับสนุน และเตรียมเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก ในขณะที่เขากำลังผลักดันแผนปฏิรูปรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องตกงานราว 300,000 คนในเดือนธันวาคม

การชัตดาวน์ครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และนักวิเคราะห์เตือนว่า อาจจะยาวนานกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา

ทั้งนี้ ด้วยความที่การเมืองในสหรัฐฯ มีการแบ่งขั้วสูง ภาวะชัตดาวน์จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเผชิญภาวะชัตดาวน์มาแล้ว 15 ครั้ง ส่วนใหญ่กินเวลาเพียงไม่กี่วัน

อย่างไรก็ดี การชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเป็นเวลา 35 วัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ถึง มกราคม 2562 ในสมัยแรกของทรัมป์ จากความขัดแย้งเรื่องความมั่นคงชายแดนเกี่ยวกับการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก

คุณอาจสนใจ

Related News