อาชญากรรม

รู้แล้วไม่ได้โดนคอลเซนเตอร์หลอก ตร.ไซเบอร์พบ 10 ขวบซื้อไอเทมเกม

โดย taweelap_b

1 ส.ค. 2565

6.5K views

กรณีนายณรงค์ฤทธิ์ คงทอง อายุ 49 ปี ชาวอ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ประกอบอาชีพค้าขายปุ๋ยเคมีการเกษตร เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตรวจสอบ อ้างโดนแก๊งคอลเซนเตอร์ ล้วงเอาข้อมูลบัตรประชาชนจากลูกชาย หลอกให้เด็กสมัครเล่นเกมออนไลน์ เพื่อจะได้คะแนนสูง สุดท้ายโอนเงินไปจำนวน 65 ครั้ง สูญเงินไปกว่า 1.2 ล้านบาท


ทั้งนี้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) และพล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ฐาปกรณ์ หนุมาศ ผกก.3 บก.สอท.5  เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง


ล่าสุดวันที่ 1 ส.ค. 65 พล.ต.ต.ชรินทร์ เปิดเผยว่า กรณีปรากฏข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.สอท.5 ตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชียรใหญ่ เชิญนายณรงค์ฤทธิ์ และลูกชาย อายุ 10 ปี มาเพื่อสอบถามรายละเอียด และตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนเกิดเหตุ นายณรงค์ฤทธิ์ ได้นำโทรศัพท์มือถือไปให้ลูกชายใช้เรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในการใช้งานแต่ละครั้ง นายณรงค์ฤทธิ์ ไม่ได้เฝ้าระวัง หรือตรวจสอบการใช้งานของลูกชายอย่างใกล้ชิด ก่อนจะนำโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวไปใช้ในการสมัครเล่นเกมออนไลน์ และซื้อ Item เกมซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง โดยการซื้อ Item เกมดังกล่าวเป็นการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet)


พล.ต.ต.ชรินทร์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า การทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการทำธุรกรรมโดยเจ้าของบัญชีเอง ซึ่งลูกชายอาจเป็นผู้ดำเนินการเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนายฤรงค์ฤทธิ์ ไม่ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนดังกล่าวแต่อย่างใด โดยขั้นตอนจะต้องมีการยืนยันตัวตนโดยการถ่ายภาพใบหน้าของนายฤรงค์ฤทธิ์ เพื่อยืนยันข้อมูลในการสมัครเข้าใช้งาน ซึ่งในการชำระค่าสินค้าเกี่ยวกับเกมออนไลน์ที่ตรวจพบ แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ 1.เป็นการทำธุรกรรมทางด้านการเติมเงินเพื่อใช้ซื้อ Item เกม 2.เป็นการทำธุรกรรมทางด้านการสนับสนุนผู้ทำ Content ผ่านช่องทาง YouTube โดยการทำธุรกรรมแต่ละครั้งเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์ 2 เครื่องด้วยกัน คือ 1.อุปกรณ์ Tablet ยี่ห้อ Lenovo รุ่น Tab MB  2.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ OPPO รุ่น A74 5G ซึ่งเป็นอุปกรณ์ของนายฤรงค์ฤทธิ์ ที่ได้มอบให้ลูกชายไว้ใช้งาน และจากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว พบว่ามีการใช้งานกับกระเป๋า E-wallet และแอปพลิเคชัน Mobile banking ซึ่งผูกบัญชีไว้ด้วยกัน


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ตรวจสอบและอธิบายให้ทราบในรายละเอียดที่เกิดขึ้นดังกล่าว นายฤรงค์ฤทธิ์ ก็ทราบและเข้าใจดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลูกชายไม่ได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงแต่อย่างใด แต่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกชายในการใช้บริการอินเตอร์เน็ต และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ในการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์


อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ที่มีบุตรหลานเป็นเด็กและเยาวชน พึงให้ความใส่ใจและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของบุตรหลาน อาทิเช่น อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet ในการใช้งานเรียนออนไลน์ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้เป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย

คุณอาจสนใจ

Related News