อาชญากรรม
แก๊งคอลฯ ตั้งเพจหลอกเป็นตร.ไซเบอร์-ทนายความ จะช่วยประชาชนแล้วให้โอน
โดย olan_l
7 ส.ค. 2567
329 views
วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ พล.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้ร่วมกันแถลงการณ์ จากที่ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บังคับการสืบสวนสอบสวนภาค 2ได้สืบทราบว่า มีขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ใช้บ้านภายในหมู่บ้านดีไอคอน ม.9 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งเป็นออฟฟิศทำงาน จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว พบชายไทย 4 คน ทราบชื่อภายหลัง คือ นายชนาภัทร นายโชคชัย นายชิชณุพงษ์ และนายจีรวัฒน์ จากการตรวจค้นพบว่าภายในบ้านมีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะจำนวน 10 เครื่อง และพบข้อมูลการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดรับว่าตนเองและพวกร่วมกันเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
โดยตั้งเพจเฟซบุ๊กในการหลอกช่วยเหลือเหยื่อ มีการยิงแอดโฆษณา หลอกว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ หรือ ทนายความ ที่สามารถช่วยเหลือเหยื่อในการทำเรื่องฟ้องร้องได้ และทำให้ได้เงินที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา โดยหลอกซ้ำเติมเหยื่อให้โอนเงินเข้ามาเพื่อลงทะเบียนในการช่วยเหลือ และยังมีการหลอกลวงในรูปแบบโรแมนซ์สแกม (หลอกให้รัก) ซึ่งจะมีสตริปต์การพูดหลอกลวงเหยื่อให้หลงเชื่อและโอนเงินมาให้ โดยภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพบว่ามีการสนทนากับเหยื่อในแอปลิเคชันเมสเซ็นเจอร์เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชันไลน์ออฟฟิศเชียลเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิด ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัตโนมัติ เครื่องกระสุนปืน และเสพยาเสพติด ซึ่งได้ทำการจับกุมและแยกดำเนินคดีที่ สภ.ศรีราชาชา จ.ชลบุรี
จากการขยายผลทำให้ทราบว่าขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ มีหัวหน้ากลุ่มเป็นชาวจีน คือ Mr.ZHOU หรือนายเจ้า สัญชาติจีน มีรองหัวหน้า คือ Mr.CHEN หรือ ปีเตอร์ สัญชาติจีน และมีเลขาเป็นคนไทย คือ นายภาวัต หรือ เหว่ย มีพฤติกรรมทำธุรกิจเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ บ่อนการพนัน และฟอกเงินฯ ซึ่งต่อมาได้มีการขยายผลและขออนุมัติศาลขอหมายค้นอีก จำนวน 3 จุด ในกรุงเทพมหานคร เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดย ปัจจุบันทราบว่าหัวหน้าและรองหัวหน้าคนจีนได้หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ได้ขยายฐานออฟฟิศมาในประเทศไทย เนื่องจากความไม่สะดวกเรื่องการติดต่อสื่อสารและสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ต่างประเทศ จึงกล้าเสี่ยงมาเปิดออฟฟิศในประเทศไทย ซึ่งจะทำการสืบสวนและขยายผลผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีในข้อหา "นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน" มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะติดตามผู้เสียหายซึ่งถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอกลวง เพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ซึ่งหากใครเป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอก สามารถให้ข้อมูลได้ที่ บก.สส.2 หมายเลขโทรศัพท์ 038 276 724 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี
ทั้งนี้ เป็นไปตามที่ได้มีมาตรการ "ระเบิดสะพานโจร ตัดซิม เสา สาย ตามแนวชายแดน" ที่กลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซนเตอร์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วประเทศ จนทำให้สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศที่แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้หมดลง หรือไม่สะดวกต่อการใช้งาน แก๊งคอลเซนเตอร์จึงปรับตัว โดยลักลอบนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำนักงานในแก๊ง มาตั้งเป็นออฟฟิตคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนไประเทศไทย ซึ่งการจับกุมครั้ง นี้ในประเทศไทย ที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนชาวไทย โดยตั้งฐานออฟฟิศอยู่ในประเทศไทย ถ้าหลอกเงินคนไทย ได้ เงินมากเท่าไหร่ ก็จะได้ คอมมิชชั่น เป็นเปอร์เซ็น คืนกลับมาสูง
แท็กที่เกี่ยวข้อง แก๊งคอลฯ ,ตร.ไซเบอร์ ,ทนายความ