สังคม
รพ. สั่งพักงานจนท. สอบปมจ่ายยาผิดให้เด็ก 1 ขวบ จากยาสลบเป็นกรดสลายหูด
โดย panwilai_c
8 ธ.ค. 2566
4.3K views
แม่ของเด็กชายวัยขวบสี่เดือน ร้องขอความเป็นธรรม หลังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ จ่ายยาผิดกับลูกชาย โดยจ่ายยาที่มีกรดไตรคลอโรอะซิติก สำหรับภายนอก แทนยาสลบ จนลูกกินไปแล้วเกิดอาการปากและลำคอไหม้ ตอนนี้อาการสาหัส
นางสาวสุพัตรา พันโกธา แม่ของน้องวัฒนชัย อายุ 1 ขวบ 4 เดือน เดินทางมาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อติดตามาอาการลูกชาย หลังเกิดอาการเป็นแผลพุพองตามร่างกายหลายแห่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู
โดยนางสาวสุพัตรา บอกว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ลูกชายลื่นล้มหน้าห้องน้ำหัวกระแทกพื้นจนหัวโน เธอจึงนำตัวลูกชายมารักษาที่โรงพยาบาลบางจาก ในจังหวัดสมุทรปราการ เพราะแม่กังวลว่าลูกจะมีปัญหาทางสมอง
โดยคุณหมอที่รักษาเห็นสมควรที่ให้เด็กสแกนสมอง เพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในสมองหรือไม่และส่งตัวไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลเมืองสมุทรปากน้ำ เพราะที่โรงพยาบาลบางจากไม่มีเครื่องมือที่พร้อม โดยให้แม่และเด็กขึ้นรถฉุกเฉินมาพร้อมพยาบาลของโรงพยาบาลบางจาก
แต่ก่อนที่จะส่งตัวไปสแกนอีกโรงพยาบาลนั้น คุณหมอเจ้าของไข้ ได้มีการสั่งจ่ายยาสลบ ให้เด็ก เพื่อไปถึงอีกโรงพยาบาลจะง่ายต่อการสแกนสมอง ซึ่งเมื่อหมอสั่งจ่ายยามาแล้ว คุณแม่ก็ได้ให้ญาติไปรับยาแทนที่ห้องจ่ายยา เป็นไซลิงค์ยาน้ำใสๆ 1 หลอด ปริมาณ 5 CC และน้ำเปล่า ปริมาณ 5 CC อีก 1 หลอด พร้อมบอกวิธีการกิน แต่ซองที่ใส่ไซลิงค์มาให้นั้นไม่มีแผ่นป้ายชื่อลูกของเธอ หรือ ชื่อแพทย์เจ้าของไข้
แต่เมื่อรถฉุกเฉิน มาถึงอีกโรงพยาบาล ทันทีที่รถจอดพยาบาลที่อยู่บนรถฉุกเฉินให้เธอป้อนยากับลูก เมื่อเธอป้อนยาลูกได้ 2 CC ปรากฏว่าลูกร้องไห้จ้าขึ้นมาและดิ้นเหมือนปวดแสบปวดร้อน เธอก็ตกใจและถามพยาบาลที่มาด้วยว่า จะเป็นอะไรหรือไม่ พยาบาลตอบว่า ไม่เป็นอะไร และให้เธอป้านยาให้หมด เธอจึงพยายามป้อนยาที่เหลืออีก 3 CC ปรากฏว่า ลูกดิ้น ทำให้ยากระเด็นมาโดนที่แขนเธอ เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก แสบกว่าโดนพริกตำอีก จากนั้น อาการลูกก็แย่ลงทันทีปากซีดขาว และร้องไห้หนักมากขึ้น และถูกนำตัวไปรักษาที่ห้องไอซียูทันที แต่แพทย์ที่โรงพยาบาลที่ 2 ตัดสินใจส่งตัวลูกชายมารักษาต่อที่โรงพยาบาลรามาในวันนั้นทันที นางสาวสุพัตราบอกว่า เธอเห็นปากและคอของลูกชายเธอ ดำเป็นรอยไหม้
และหลังจากเกิดเรื่องก็มีตัวแทนจากโรงพยาบาลบางจาก โทรศัพท์มายอมรับว่าเกิดความคลาดเคลื่อนในการให้ยา ในวันเกิดเหตุ โดยยาที่คาดว่านำมาให้ลูกชายกิน เป็นยา ที่ชื่อว่า "TCA" เป็นยาใช้ภายนอก สำหรับสลายเนื้อเยื่อ เช่นหูดหงอนไก่ จะมีกรดไตรคลอโรอะซิติก มีฤทธิ์เป็นกรดไม่สามารถใช้เป็นยารักษาภายในได้ และทางตัวแทนของโรงพยาบาลดังกล่าวยังบอกอีกว่า ได้เก็บไว้ในห้องเดียวกันกับยาสลบที่จะต้องให้ลูกชายของเธอ ทำให้เภสัชกรที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายยา อาจเกิดความเข้าใจผิด หยิบยาผิดขวดเพราะขวดมีลักษณะคล้ายกัน
นางสาวสุพัตรา บอกว่าเธอฟังที่ตัวแทนโรงพยาบาลบอกมา ยอมรับว่าใจสลายมาก เพราะไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดแบบนี้จะมาจากทางโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องของยา และยืนยันว่าหลังจากนี้จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ผอ.โรงพยาบาลบางจาก แจง มีการจ่ายยาผิดจริง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ และให้หยุดงานทันที หากมีความผิดจริง จะมีโทษทางวินัยสูงสุดคือไล่ออก ยันตามปกติ ยาจะจัดวางแยกกันอยู่แล้ว แต่ยอมรับ บรรจุภัณฑ์และสียาทั้ง 2 ตัวใกล้เคียงกัน
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นางสาวชลิดา พะละมาตย์ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง พร้อมกับนางสาวสุพัตรา พันธ์โกทา อายุ 25 ปี แม่ของเด็กชายวัย 1 ขวบ 4 เดือน และป้า ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลบางจาก ที่ถูกกล่าวหาว่าจ่ายยาให้เด็กผิด เพื่อมารับตัวยาที่จ่ายมาให้
ซึ่งทันทีที่มาถึง ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้เชิญให้แม่ และญาติๆ ขึ้นไปพูดคุยกับทาง นพ.วันฉัตร ชินสุวาเทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางจาก
พร้อมกันนี้ได้มีการนำขวดยาที่ดูดใส่ไซริงค์ มาให้กับญาติของน้อง ซึ่งจากที่ทีมข่าวสังเกต ยาขวดดังกล่าวเป็นสีชา ฝาสีดำ เท่าที่สังเกต มีการปิดสลากสีขาวเขียนว่า “Choroacetic acid Lot NO. TCA80 661030 หมดอายุ 30 ตุลาคม 2567”
นพ.วันฉัตร ชี้แจงว่า หลังจากที่รับทราบข้อมูลก็ได้มีการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และได้ดูใบสั่งยาจากแพทย์ รวมถึงมีการรวบรวมข้อมูล และชี้แจงข้อมูลเบื้องต้นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทราบว่าน้องหกล้ม และมีปัญหาทางด้านศีรษะ และจะส่งตัวไปรับการสแกนสมอง ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เนื่องจากโรงพยาบาลบางจากไม่มีเครื่องสแกน ซึ่งในระหว่างที่ดำเนินการต้องมีการให้ยาให้เคลิ้ม เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจ
แต่ประเด็นคือ อาจจะมีความคาดเคลื่อนในการเตรียมยาที่ให้น้องหลับ แต่กลายเป็นยาอีกตัวหนึ่ง ที่มีฤทธิ์เป็นกรด จึงทำให้น้องเกิดอาการระคายเคือง ซิ่งเกิดเหตุในรถฉุกเฉิน จึงรีบนำตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ
โดยความคลาดเคลื่อนที่ ผอ.ระบุนั้น เข้าใจว่าเป็นช่วงขั้นตอนของการเตรียมยา ซึ่งตอนนี้ทางโรงพยาบาลอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ซึ่งได้มีการประสานกับทางจังหวัด และให้โรงพยาบาลรวบรวมข้อมูลที่มี ส่งไปทางจังหวัดที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา ซึ่งในรายละเอียด อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล เบื้องต้น
ตัวยาที่จ่ายไปให้นั้น คือ TCA หรือกรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอก สำหรับพวกติ่งเนื้อ หรือหูด ฤทธิ์ของมันเป็นกรด ก็จะเกิดการระคายเคืองหากมีการรับประทานเข้าไป
ทั้งนี้ โดยปกติตัวยาทั้ง 2 ชนิด จะจัดวางแยกกัน ระหว่างยาใช้ภายนอกที่มีฤทธิ์เป็นกรด และ ยาใช้ภายใน แต่ต้องไปตรวจสอบว่าเความผิดพลาดเกิดจากอะไร แต่โดยโฟลว์ของการจ่ายยา ก็จะมีการจัดยาให้ตรง เป็นไปตามมาตรฐานของทุกโรงพยาบาล
เมื่อสอบถามว่า ยาทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะใกล้เคียงกันหรือไม่ ทาง ผอ.โรงพยาบาล ระบุว่า เท่าที่ทราบจากที่รับแจ้งมา ทั้งบรรจุภัณฑ์ และสียาใกล้เคียงกัน
เบื้องต้น มีการให้เจ้าหน้าที่หยุดงานทันทีในระหว่างขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมยืนยันว่า ผู้ที่จ่ายยาให้เป็นทีมเภสัชกร หากพบว่า ทางเจ้าที่ของโรงพยาบาลมีความบกพร่องจริงก็จะถูกดำเนินการ ตามระเบียบราชการโทษสูงสุดคือไล่ออก
ซึ่งทางจังหวัดเองไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามที่จะตรวจสอบข้อมูล ให้ทำข้อมูลขึ้นไป และเน้นย้ำให้ทางโรงพยาบาลดูแลเด็กรายนี้ ในเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษาเต็มที่ และทำเอกสารเพื่อยื่น ม. 41 เพื่อการเยียวยากับน้องโดยตรง
ระหว่างการแถลง ป้าของเด็ก ได้เรียกร้องให้จนท.รพ.ทุกคนออกมาชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่เอาตัวแทน
คุณสิยากร วงษ์หมอ ป้าของเด็ก ซึ่งเป็นคนไปรับยาจากห้องเภสัช ระบุว่า อยากให้ผู้ที่จ่ายยาให้ ออกมาชี้แจงไม่เอาตัวแทน
พร้อมเล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุว่า เป็นคนนำใบออเดอร์ที่ได้จากพยาบาล ไปติดต่อรับยานอนหลับที่ห้องเภสัชด้วยตนเอง ที่ช่องยาหมายเลข 5
แต่เมื่อรับยาออกมาซึ่งตอนแรกเป็นยานอนหลับตนเอง ก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจ แต่เจ้าหน้าที่ก็เตือนว่าให้จับดีๆ นะให้ระวัง ตนเองก็แปลกใจว่าให้ระวังอะไร นึกว่าให้ระวังหก หรือระวังมีเชื้อโรคเข้าไป จากนั้นตนก็เอาไซริงค์นี้ส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่พยาบาล
ทั้งนี้ยืนยันว่าจำบุคลากรได้ทุกคน และเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยาให้ ก็ไม่ได้ใส่ชุดกาวน์สีขาวเหมือนเภสัชกร และเดินออกมาจากด้านหลังห้องรับยา เพื่อที่จะมารับใบออเดอร์รับยา ก่อนส่งต่อให้พยาบาล จากนั้นตนเองก็กลับบ้านไป กระทั่งแม่ของเด็ก โทรมาบอกว่าให้ช่วยหน่อยบอกว่าหลานทานยาเป็นกรดเข้าไป
ด้านแม่ของน้อง บอกว่า ตอนนี้ลูกมีอาการไข้ขึ้น และต้องใส่สายในจมูก ซึ่งทางครอบครัวก็ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นสายอะไร นอกจากนี้น้องยังต้องเจาะคอ เพื่อให้สารอาหารผ่านเส้นเลือดดำ และที่น่ากังวลที่สุด คือ บริเวณกระเพาะอาหาร แพทย์แจ้งว่า มีความเสี่ยงที่จะทะลุจากพิษของตัวยา ที่มีฤทธิ์เป็นกรด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางครอบครัวยอมรับว่าสภาพจิตใจค่อนข้างย่ำแย่ และต้องการให้ทางโรงพยาบาลนำบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาพูดคุยกัน โดยเฉพาะทีมเภสัชกรที่เป็นคนจ่ายยา และพยาบาลที่อยู่ในรถพยาบาลที่พยายามบังคับแม่เด็กป้อนยาให้เด็กกินให้ครบทั้ง 2 ไซริงค์
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/jGHRnn4R5Zw