สังคม

ผัวเมียใจสลาย แบงก์ยึดบ้านผิดหลัง ขนของขาย-เผาเกลี้ยง เกือบเดือนยังเงียบ โร่ร้องทนายช่วย

โดย panwilai_c

3 ต.ค. 2565

1.9K views

เจ้าของบ้าน สุดเศร้า ธนาคารบุกยึดบ้านผิดหลัง อยู่มา 14 ปี ถูกเจ้าหน้าที่มารื้อของหมดเกลี้ยง ใจสลาย เมื่อข้าวของแห่งความทรงจำถูกทำลาย แบงก์เตรียมแจงบ่าย 2 พรุ่งนี้ (4 ต.ค. 65)



ผู้เสียหายได้ร้องเรียนผ่านเพจทนายคู่ใจ และส่งภาพคลิปเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินเข้าไปดำเนินการยึดบ้านผิดหลัง พร้อมกับเล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน



ตั้งแต่ 9 นาฬิกากว่าๆ ชายคนหนึ่งที่คาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร เดินลงจากรถ ก่อนที่จะเริ่มมีเจ้าหน้าที่เข้าไปในบ้าน ในคลิป จะเห็นควันสีขาว ซึ่งผู้เสียหายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเผาสิ่งของในบ้าน จากนั้น ผู้รับเหมาก็เริ่มทำการรื้อต้นไม้ และเริ่มเข้าไปในบ้าน ก่อนที่จะนำป้ายสีชมพูมาติดว่า ห้ามบุกรุก ที่รั้วบ้าน



ในวันต่อๆมา ก็มีรถกระบะ ขับเข้ามา พร้อมชายหลายคน ที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ ก่อนจะมีการเปิดประตูรั้ว และเข้าไปเก็บข้าวของในบ้าน และเคลียร์รอบๆตัวบ้าน และในบ้าน ทาสีรั้วใหม่ ซึ่งในวงจรปิดจะเห็นว่าภายในบ้านไฟถูกเปิด และมีคนอยู่ ซึ่งในช่วงสัปดาห์นั้นมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตลอดก่อนที่จะทยอยขนซากต้นไม้และข้าวของออกไปจนหมด เหลือแต่บ้านโล่งๆ



ในโพสต์ของผู้เสียหายที่ร้องเรียนทางเพจ ได้ไล่เรียงเหตุการณ์ว่า กระทั่ง วันที่ 15 กันยายน เพื่อนบ้านสงสัยว่าทำไมมีป้ายติดประกาศว่าบ้านเป็นทรัพย์สินของธนาคารห้ามบุกรุก และติดประกาศขาย แต่ในประกาศเป็นบ้านเลขที่ไม่ตรงกับหลังที่ถูกยึด เพื่อนบ้านเลยโทรติดต่อธนาคาร ไปเพื่อที่จะขอซื้อดู จึงได้รู้ว่าบ้านที่จะขายนั้นเป็นอีกหลังใกล้กัน



เพื่อนบ้านเลยโทรแจ้งว่า "จะขายบ้านหรอ เห็นคนมารื้อบ้านรีโนเวท และติดป้ายของธนาคาร" ซึ่งพอทราบเรื่องจากเพื่อนบ้านแล้ว จึงได้รีบเดินทางไปที่บ้านหลังนั้น ซึ่งก็เห็นตามสภาพคือบ้านโล่งๆ ของถูกรื้อเอาออกไปจนหมดทุกอย่าง ประตูห้องครัว และประตูระเบียงถูกปิดล็อคโดยกุญแจของธนาคาร และก็ได้โทรแจ้งทางคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร คอลเซ็นเตอร์ก็รับเรืองไว้



วันที่ 16 กันยายน ได้ไปลงบันทึกแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจลาดหลุมแก้ว วันที่18 กันยายน ตำรวจก็ขอเข้ามาดูบ้าน ถ่ายรูปและตนก็ได้เอากุญแจชุดใหม่ไปคล้องไว้ที่หน้าบ้าน เพราะรั้วหน้าบ้าน ธนาคารเอากุญแจออกไปแล้ว



ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปแจ้งความได้ติดต่อไปที่คอลเซ็นเตอร์อีกครั้งทราบว่ารับเรื่องไว้ และจะติดต่อกลับภายใน 3 วันทำการ แต่เนื่องจากมีคนที่รู้จักกับทางนิติกรของธนาคารจึงโทรไปแจ้งฝ่ายนิติกรว่ามีการยึดบ้านผิด และผู้รับเรื่องแจ้งว่าจะให้เจ้าหน้าที่นิติกรติดต่อมา



วันที่ 17 กันยายน มีเจ้าหน้าที่นิติกรโทรมาขอโทษและแจ้งว่าเป็นความผิดของธนาคารจริงที่เข้าทำบ้านผิดหลัง และธนาคารแจ้งว่าจะให้ทางนิติกรเข้ามาคุย จึงนัดให้ไปพบและคุยที่สถานีตำรวจในวันที่ 20 กันยายน



ตนกับทางตัวแทนธนาคารได้มาเจรจาตกลงค่าเสียหายกัน เบื้องต้นประเมินไว้ประมาณ 2 ล้านบาท ธนาคารแจ้งว่าเป็นการเข้าทำผิดหลัง ไม่ได้มีเจตนาแต่อย่างใด ทรัพย์สินบางอย่างได้ถูกเก็บไว้ที่อีกที่หนึ่ง แต่บางอย่างได้ถูกทำลายไปแล้ว เช่น เสื้อผ้า หนังสือเก่า รูปภาพ ของสะสมต่าง ๆ รวมถึงของใช้ของลูกซึ่งมีคุณค่าทางจิตใจ ไม่สามารถหามาทดแทนได้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้รับของที่เก็บไว้คืนก่อน แต่ยังแจ้งไปว่ายังไม่รับคืน และยังไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง



วันที่ 26-27 กันยายน ได้โทรสอบถามทางเจ้าหน้าที่นิติกร และทนายของธนาคาร ว่าได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่แจ้งว่ากำลังรวบรวมรายการทำทรัพย์สินที่ธนาคารเก็บไว้เพื่อจะส่งคืน แต่ไม่ได้พูดถึงการชดใช้ค่าเสียหายใดๆ การติดต่อดำเนินการทุกอย่าง เป็นเจ้าของบ้านที่ต้องคอยติดต่อ สอบถามไปเอง ไม่ได้รับการใส่ใจในการแก้ปัญหาใด ๆ จากทางธนาคารเลย



ทีมข่าวลงพื้นที่บ้าน หลังเกิดเหตุ ในตำบลคลองพระอุดม อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ก่อนที่คุณสมเกียรติ สร้อยสน เจ้าของบ้าน ได้พาทีมข่าวเดินดูภายในบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ที่มีการเล่นระดับ ขนาด 84 ตารางวา ที่วันนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆ บางส่วนที่หนัก และขนย้ายยากลำบากถูกทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า



คุณสมเกียรติ บอกว่า ทรัพย์สินที่มีค่า ชิ้นเล็กๆ ถูกขนออกไปหมด ในห้องพระ ที่มีพระเครื่อง หิ้งพระ พระพุทธรูป ก็ถูกเอาเก็บไปเกือบทั้งหมด ห้องนอนของตน และภรรยา ก็ถูกรื้อ เอาของออกไปหมด รวมถึงแอร์ในห้องนอนที่ถูกถอดไป เหลือเพียง รีโมทแอร์ที่ติดไว้ข้างกำแพง ขณะที่ต้นไม้รอบบ้านก็ถูกรื้อถอน ถางออกไปหมด ส่วนป้ายบ้านเลขที่พร้อมกับตู้ไปรษณีย์ ก็ถูกถอดออกไป เพื่อทาสีใหม่ และไม่นำมาติดไว้เหมือนเดิม



แต่ที่น่าเจ็บใจคือ ข้าวของที่มีคุณค่าทางจิตใจ อย่างรูปภาพครอบครัว ที่ถูกนำไปกองทิ้งไว้หน้าบ้าน หรือแม้แต่โมบาย ที่แขวนเปลลูก ซึ่งภรรยาทำเองกับมือก็ถูกทิ้งไป รวมถึงนิตยสารที่ภรรยาเก็บสะสมมายาวนาน และไม่สามารถหาได้อีกแล้ว ก็หายไปหมด



คุณสมเกียรติบอกว่า ปกติจะมานอนเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ตอนนี้พ่อภรรยาป่วย จึงไม่ได้เข้ามาที่บ้านหลายเดือน ซึ่งเจ้าหน้าที่รับเหมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ในการรื้อทรัพย์สินในบ้าน และได้เข้ามานอนเปิดไฟอยู่ภายในบ้านหลายคืน



กระทั่งเพื่อนบ้านมาเห็นป้ายที่ปิดประกาศไว้ จึงลองโทรไปหาทางธนาคาร ซึ่งตอนนั้นธนาคารเพิ่งได้รู้ว่าดำเนินการผิดหลัง เพื่อนบ้านจึงรีบแจ้งตนเมื่อวันที่ 15 กันยายน จึงรีบเดินทางมาดู และเห็นว่ามีมีกุญแจของธนาคาร ล็อกเอาไว้ ตอนมาถึง ตกใจ และช็อก ยิ่งเห็นภาพลูกชายร้องไห้ หลังจากมาเห็นสภาพบ้าน ก็ยิ่งทำใจไม่ได้



หลังจากนั้น จึงรีบติดต่อไปที่ธนาคาร ซึ่งมีแต่ฝ่ายของตนที่ติดต่อไป บอกว่าจะมีการเอาของกลับมาคืนให้ แต่ไม่มีการแสดงว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ส่วนตัวสงสัยกระบวนการทำงานของทางธนาคารว่าเป็นอย่างไร ทำไมจึงเกิดข้อผิดพลาดถึงขนาดนี้



ขณะที่คุณกาญจนา สร้อยสน อายุ 45 ปี ภรรยาเล่าว่า มันเศร้าตั้งแต่รับโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านว่าในบ้านไม่เหลืออะไรแล้ว พอเปิดดู รู้สึกช็อก ข้าวของที่อยู่ หายไปหมด เหมือนขโมยขึ้นบ้าน ยิ่งของทั่เป็นความทรงจำของที่เรารัก และเก็บไว้ที่นี่ ซึ่งตนเองเป็นคนที่รักบ้าน และตั้งใจที่จะอยู่ที่นี่ในบั้นปลายชีวิต พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้รับไม่ได้



ยิ่งเห็นรูปภาพที่ถูกกองไว้สะเทือนใจมาก พอถามไปก็บอกว่ารูปภาพไม่อยู่แล้ว ทิ้งไปแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่บอกกับตนว่า "พี่มีรูปไหม เดี๋ยวผมเอาไปใส่กรอบให้ก็ได้นะ" ซึ่งตนมองว่ามันไม่ใช่ เพราะทั้งกรอบรูปภาพทั้งหมด ตู้บางตู้ ข้าวของในบ้าน พ่อของตนเป็นคนทำ แล้วตอนนี้พ่อของตนก็ไม่สบายไม่สามารถทำได้แล้ว ของเหล่านี้ไม่สามารถเอากลับมาได้แล้ว



นี่ถือว่าเป็นความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ ตนพยามถามธนาคารว่า ก่ยอมรับว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร แต่ไม่บอกว่าหน่วยไหน ซึ่งตนก็ยังไม่รู้พยามสอบถามไปก็ยังเงียบ



ตนเองอยากให้ธนาคารแสดงออกมารับผิดชอบ อยากให้จบเร็วๆ และอยากให้เช็คให้ละเอียดรอบคอบ เพราะของเหล่านี้เอาคืนไม่ได้ ความทรงจำเก่าๆ ของเก่า ๆ ที่เก็บไว้ เป็นมูลค่าทางจิตใจ



ทีมข่าวได้ไปสอบถามคุณสรวง เพื่อนบ้าน ที่เป็นคนแจ้งไปยังผู้เสียหายทั้ง 2 เล่าว่า ต้นเดือนกันยายนที่ เห็นมีเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามา และบอกว่าบ้านหลังนี้โดนยึด จากนั้นอีก 2-3 วัน ประมาณวันที่ 5 กันยายน ก็เริ่มมีผู้รับเหมาเข้ามาทำการตัดถางต้นไม้ พร้อมกับติดป้ายหน้าบ้านว่า ห้ามบุกรุก หากฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย พร้อมกับทยอยขนของภายในบ้านออกมา มีทั้งรูปภาพครอบครัว



ตอนนั้นผู้รับเหมา อยู่เป็นสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้นก็แปลกใจ เพราะว่าหากจำไม่ผิด เจ้าของบ้านผ่อนชำระบ้านกับอีกธนาคารหนึ่ง แต่ทำไมธนาคารนี้มายึด และในเมื่อบ้านถูกยึด ตนเองก็แปลกใจว่า ทำไมน้ำไฟ จึงยังไม่ถูกตัด เพราะเห็นว่าช่วงกลางคืน ผู้รับเหมามานอนในบ้าน



ช่วงที่เอาข้าวของออกมา ตนเห็นรูปภาพครอบครัว ถูกนำมากองหน้าบ้าน ก็ยังแปลกใจว่าไม่เอาไปหรือ นอกจากนี้ยังได้นำแอร์ อลูมิเนียม เหล็ก ที่ดูดควัน ที่พอจะขายได้ มาวางกองไว้ และเอาไปขาย



หลังจากนั้น พอทำเสร็จมีเจ้าหน้าที่มาถ่ายรูป เห็นติดป้ายขาย พอตนไปดูเห็นว่าบ้านเลขที่ไม่ตรง แฟนเลยโทรบอกเจ้าของ ให้รีบมาดู



ทีมข่าวจึงไปที่บ้านหลังที่ในตอนแรกจะถูกยึด คือ 99/44 ที่อยู่ถัดไป 3 หลัง ได้คุยกับคุณณี อายุ 43 ปี เจ้าของบ้านหลังที่ตอนแรกจะถูกธนาคารยึด เล่าว่า เพิ่งทราบวันนี้ว่า ธนาคารยึดผิดหลัง ยอมรับว่าเดิมตนมีสถานะที่จะถูกธนาคารยึดบ้าน แต่ก็ยังไม่ได้มีใครติดต่อมา



จนมาเห็นเจ้าหน้าที่รับเหมามาที่บ้านผู้เสียหายตอนแรกคิดว่า จะรีโนเวทบ้าน กระทั่งมาเห็นป้ายว่าเป็นทรัพย์ของธนาคาร จึงตกใจ จึงเข้าใจว่า ถ้าบ้านหลังนั้นถูกยึดทรัพย์ บ้านของตนก็จะโดนเป็นหลังต่อไป เพราะธนาคารเดียวกัน จึงรีบเข้าไปเจรจา ไกล่เกลี่ยกับธนาคารสาขาใกล้บ้าน เพื่อให้สามารถอยู่บ้านหลังนี้ต่อได้ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากทางธนาคาร แต่ตนเองก็ไม่ทราบว่า หลังของผู้เสียหายผิดหลัง ส่วนตัวตกใจแทนเจ้าของบ้านหลังนั้น



วันนี้ผู้เสียหายทั้ง 2 จึงร้องเรียนเพจทนายคู่ใจ และเข้าพบ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายทวงคืนความเป็นธรรมเพราะอยากให้ทางธนาคารออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมา ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ลาดหลุมแก้ว และมีโอกาสก็มีทนายความ กับนิติกรของธนาคารมาพูดคุยไกล่เกลี่ย พร้อมนำกระเช้ามามอบให้ ซึ่งตนก็ไม่อยากรับเลย และทางเขาไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องชดใช้ค่าเสียหายเลย จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีกเลย มีเพียงตนที่ต้องติดตามเองตลอด



ซึ่งพอทางธนาคารทราบว่าเป็นบ้านผิดหลัง ก็มีเพียงคำขอโทษเท่านั้น ซึ่งตนอยากให้ทางธนาคารมารับผิดชอบ เนื่องจากเรายังไม่เห็นการออกมาแสดงความรับผิดชอบ เยียวยาอะไรเลย



พร้อมกับทำหนังสือ ขอคืนซับที่ธนาคารเก็บรักสาไว้ให้กับผู้เสียหาย ซึ่งมีทั้งหมด 13 รายการ เช่นตู้ไม้วางของ /โต๊ะทำงาน / โต๊ะหมู่บูชา พร้อมพระบูชา จำนวนห้าองค์ / เตารีด / กรอบรูป / หนังสือเก่าจำนวนหลายเล่ม ประมาณสองลัง และแก้วน้ำมีหูพร้อมจานรองเซรามิกสามชุด เป็นต้น



ด้าน ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของทางธนาคารออมสิน จึงอยากให้ออกมาชี้แจง เนื่องจากจะไปยึดบ้านหลังไหนต้องมีรายละเอียดของบ้าน เช่น บ้านเลขที่ หรือหลังไหนที่ชัดเจน แต่กลับมายึดบ้านผิดหลังเช่นนี้ โดยจะพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีใน 4 ข้อหาด้วยกัน คือ บุกรุกโดยทำลายสิ่งกีดขวาง / ลักทรัพย์ในยามวิกาล ในเคหะสถาน / ทำให้เสียทรัพย์ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา



ล่าสุดทนายรณณรงค์แจ้งว่า ทางธนาคารนัดชี้แจงข้อเท็จจริงในวันพรุ่งนี้ เวลา 14.00น.



รับชมได้ทางยูทูบ : https://youtu.be/SQXR_OLUR_Y

คุณอาจสนใจ

Related News