ทลายเว็บพนันยักษ์ข้ามชาติ อาศัยช่วงปะทะชายแดนซุกไทยเป็นฐานที่มั่น เงินหมุนเวียนกว่า 90 ล้านต่อเดือน

บุกทลายเว็บพนันยักษ์ข้ามชาติ ยึดโทรศัพท์ 110 เครื่อง สมุดบัญชี 90 เล่ม เช่าบ้านทำศูนย์บัญชาการกลางเมืองศรีสะเกษ อาศัยช่วงปะทะชายแดนซุกไทยเป็นฐานที่มั่น ปั่นเงินข้ามประเทศ บัญชีธนาคารหมุนเงินกว่า 90 ล้านต่อเดือน คุมตัว 14 รายตรวจเจอยาเสพติด อาวุธครบมือ

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษ พล.ต.ต. ศุภชัย ศักรินพานิชกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย พ.ต.อ. ฉัตรพัฒน์ แก้วจันดี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ, พ.ต.อ. นรินทร์ บุพตา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษ และ พ.ต.อ. สาธิต สถิตถาวร ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกันแถลงข่าวผลงาน ทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ครั้งแรกของจังหวัดศรีสะเกษ หลังปฏิบัติการบุกค้นบ้านเช่า 2 หลังกลางเมือง พบของกลางจำนวนมหาศาล ของกลางที่ยึดได้ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ 110 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร 90 เล่ม, ซิมการ์ดโทรศัพท์จำนวนหนึ่ง, อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก และยาเสพติดชนิดเคตามีน 0.49 กรัม โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 14 ราย แบ่งเป็นชาวไต้หวัน 3 ราย และชาวไทย 11 ราย ซึ่งถือเป็นการจับกุมเครือข่ายต่างชาติที่ลักลอบทำธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติครั้งใหญ่ในพื้นที่

พล.ต.ต. ศุภชัย เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นจากข้อมูลของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองศรีสะเกษ ที่แจ้งว่ามีชาวไต้หวันกลุ่มหนึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษโดยมีพฤติกรรมต้องสงสัย จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเฝ้าติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด กระทั่งเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพบรถจักรยานยนต์สองคันขับขี่ในลักษณะมีพิรุธ เมื่อเรียกตรวจพบว่าผู้ขับขี่หนึ่งในนั้นพยายามหลบหนี จึงถูกติดตามจับกุมไว้ได้ 1 คัน จากการตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องอยู่ในกระเป๋า ลักษณะเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี เจ้าหน้าที่จึงประสานชุดสืบสวนตรวจสอบเชิงลึก พบหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงบ้านเช่าในโครงการเคหะเอื้ออาทร เขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ จึงรวบรวมพยานหลักฐานและนำกำลังเข้าตรวจค้นพร้อมกันทั้งสองหลัง ภายในบ้านเจ้าหน้าที่พบชาวไต้หวันและชาวไทยรวม 14 คน กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอโทรศัพท์นับร้อยเครื่องที่เชื่อมต่อระบบบัญชีออนไลน์ไว้ครบวงจร ทุกเครื่องมีการเปิดใช้งานพร้อมกันตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อทำหน้าที่รับ-โอนเงินจากนักพนันออนไลน์ทั่วประเทศ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็น “ศูนย์ปฏิบัติการการเงินเครือข่ายพนัน” ที่เชื่อมโยงกับเว็บพนันข้ามชาติ

พ.ต.อ.สาธิต เปิดเผยว่า เครือข่ายดังกล่าวมี นายมินทร์ ชาวไทย เป็นหัวหน้าจัดการหลัก ทำหน้าที่ชักชวนเพื่อนและคนรู้จักมาทำงาน โดยเช่าบ้านสองหลังในราคาเดือนละ 7,000 บาทต่อหลัง จากนั้นให้คนงานราว 10 คนไปเปิดบัญชีธนาคารคนละ 2-5 บัญชี รวมได้กว่า 90 บัญชี ก่อนนำข้อมูลบัญชีทั้งหมดมาเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือประมาณ 90 เครื่อง เพื่อใช้เป็นบัญชี “รับฝาก-ถอนเงิน” จากผู้เล่นพนันออนไลน์ เบื้องต้นตรวจสอบพบมีเงินยังค้างบัญชีอยู่ประมาณ 2 ล้านบาท และคาดว่า 90 บัญชี น่าจะมีเงินหมุนเวียนเข้า-ออก ประมาณ 90 ล้านบาท กลุ่มนี้จัดให้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลโทรศัพท์ตลอดเวลาไม่ให้ดับหรือแบตเตอรี่หมด โดยจ่ายค่าจ้างคนละ 18,000 บาทต่อเดือน คาดว่าได้เช่าบ้านและดำเนินกิจการลักษณะนี้มานานประมาณ 3 เดือนแล้ว และอาจย้ายมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้มีเหตุปิดด่านชายแดนและการปะทะ ทำให้ต้องย้ายฐานเข้ามาในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเพื่อดำเนินการได้สะดวกยิ่งขึ้น

ระหว่างการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบยาเสพติดชนิดเคตามีนจำนวนหนึ่ง และตรวจปัสสาวะผู้ต้องหา พบผลเป็นสีม่วงถึง 10 ราย จึงคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนอย่างละเอียด

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาแยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1. ชาวไต้หวัน 3 ราย และชาวไทย 1 ราย (นายมินทร์) ถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือเผยแพร่เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้เช่า หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ตาม พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 10

2. ผู้ต้องหาชาวไทย 10 ราย ถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนโดยรู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ตาม มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.เดียวกัน

นอกจากนี้ ยังแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาชาวไทยทั้งหมดในความผิดฐาน เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (เคตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม และเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป