สังคม
นักวิชาการค้าน “นฤมล” ดันวิชาประวัติศาสตร์สอบเข้ามัธยม ชี้เป็นนโยบายตามกระแส
โดย nicharee_m
19 ส.ค. 2568
301 views
นักวิชาการด้านการศึกษา ไม่เห็นด้วย “นฤมล” ดัน “ประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมือง” เป็นวิชาหลักในการสอบเข้า ม.1 และ ม.4 ชี้ไม่ใช่วิชาที่ใช้ท่องจำเพื่อสอบ แต่เป็นการให้คิดวิเคราะห์และเข้าใจบริบทที่แท้จริง ห่วงสถานการณ์การศึกษาไทย เพราะไม่ได้คนในวงการศึกษา เข้ามาดูแลระบบการศึกษาที่แท้จริง
วันที่ 19 ส.ค.2568 ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / นักวิชาการด้านการศึกษา ให้ความเห็นกรณี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวคิดปรับปรุงเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาเอก ที่ต้องใช้ในการสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อระดับชั้น ม.1 และ ม.4 นั้น
ในเรื่องนี้อาจารย์สมพงษ์ ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะเป็นการไปเน้นผิดที่ เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ไม่ใช่วิชาที่มีไว้ท่องจำ แล้วไปเน้นการสอบเพื่อศึกษาต่อ แต่การเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองนั้น เป็นการเรียนรู้เพื่อฝึกตั้งโจทย์คำถาม การคิด การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การสรุปประเด็น การลงมือปฏิบัติ และการลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้ในพื้นที่ต่างๆ ถ้าไปเน้นเรื่องการท่องจำและการนำไปสอบ ถือว่าผิดไปจากแนวคิด ของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง
ประเด็นที่สำคัญ ต้องทำความเข้าใจว่า การศึกษานั้น ไม่ได้มีหน้าที่ไปตอกย้ำเรื่องความอคติ หรือเรื่องชาตินิยม ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ต้องเป็นการสอนบนหลักการ ให้คนอยู่ร่วมกัน เป็นพลเมืองไทย หรือเป็นพลเมืองอาเซียน ทำให้คนอยู่ร่วมกันและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตนเองและของประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมในขณะนี้ คือการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองทางเลือก ทำให้เกิดระเบียนการเรียนการสอน เกี่ยวกับปัญหาและข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมันคือระเบียนเรื่องการศึกษาและวัฒนธรรม รวมถึงการอยู่ร่วมกัน
ถ้ามีวิชาประวัติศาสทางเลือกในมหาวิทยาลัยพื้นที่ชายแดน โดยการสร้างวิชาประวัติศาสตร์ร่วมกัน เช่น การอ่านแผนที่ เรื่องอาณานิคม ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ และประวัติศาสตร์วิพากษ์ จะทำให้ระเบียนการศึกษาในพื้นที่เกิดความขัดแย้ง จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความเข้าใจ ต้องไม่อยู่ร่วมกันด้วยความขัดแย้งหรือด้วยความอคติ
ส่วนอีกประเด็นที่ต้องระวัง ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้มีหน้าที่ให้นโยบาย หากให้นโยบายการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาที่ต้องใช้สอบเข้า ลักษณะก็จะคล้ายกับรัฐบาลในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเฉพาะ แต่ไม่ได้มองเรื่องโครงสร้างและตัวระบบ ที่ขณะนี้หลักสูตรกลายมาเป็นหลักสูตรแบบฐานสมรรถนะ ไม่ได้แยกออกมาเป็นรายวิชา
ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องระมัดระวังในการให้นโยบาย ถ้าให้นโยบายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การศึกษาที่กำลังเป็นอยู่ จะมีผลต่อระบบการศึกษา ผู้ให้นโยบายด้านการศึกษา ควรต้องไปทบทวน เพราะการศึกษาไม่ใช่การให้สำคัญเพียงรายวิชาใดรายวิชาหนึ่ง
สิ่งที่เกิดกับระบบการศึกษาไทยปัจจุบัน พบว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบผิวเผิน แต่ไม่ได้ลงลึกในด้านโครงสร้างระบบการศึกษาทั้งหมด อย่างเช่น ช่วงหนึ่งเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา (เปลี่ยนรัฐมนตรี) จากเดิมนโยบายคือ “เรียนดีมีความสุข” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “เรียนดีมีคุณธรรม” ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้เป็นคนในระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ประเทศไทยก็ต้องทนอยู่กับนโยบายด้านการศึกษาแบบผิวเผินเช่นนี้ต่อไป
นโยบายที่เห็นก็เป็นไปตามกระแส หรือนโยบายเกี่ยวกับการหาเสียง แต่จะทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้นหรือไม่นั้น ตรงนี้เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง
หากมองในภาพรวมการศึกษาไทยนี้ พบว่า การศึกษาไทยอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นและน่าเป็นห่วงไปพร้อมๆ กัน แต่ปัจจุบันพบว่าการศึกษาไทย มีสภาพน่าเป็นห่วงมากกว่าดีขึ้น เพราะคนที่เข้ามาดูแลระบบการศึกษา ไม่ใช่คนที่เข้าใจปัญหาการศึกษาของไทย ไม่เข้าใจเรื่องโครงสร้างและระบบ ไม่เข้าใจสิ่งที่ต้องทำในขณะนี้และสิ่งที่ต้องวางแผนในอนาคต แต่สิ่งที่กำลังให้นโยบาย กลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระแสและคะแนนนิยม แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการศึกษาให้ดีขึ้น
แท็กที่เกี่ยวข้อง ศธ. ,วิชาประวัติศาสตร์ ,ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ