สังคม

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ค้านสร้างฝายดักตะกอนลำน้ำกก ชี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ จี้รัฐเจรจาเพื่อนบ้าน

โดย nicharee_m

13 มิ.ย. 2568

54 views

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต พร้อมตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกกประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแผนรัฐบาลในการสร้าง “ฝายดักตะกอน” เพื่อลดปริมาณสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ชี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ไม่ยั่งยืน และเสี่ยงซ้ำรอยล้มเหลวจากกรณีลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ย้ำรัฐบาลควรเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองต้นน้ำซึ่งเป็นต้นตอแท้จริงของวิกฤตนี้

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เปิดเผยว่า การสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกกตามแผนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่จัดการกับสาเหตุหลักคือ “เหมืองแร่ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน” โดยเฉพาะในเขตพม่า–ว้า ซึ่งปล่อยโลหะหนักและสารพิษลงสู่แม่น้ำก่อนไหลเข้าสู่เขตประเทศไทย

“ฝายดักตะกอนไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงในระยะยาว แถมส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแม่น้ำ เช่น การอพยพของปลา การไหลเวียนออกซิเจน และความหลากหลายทางชีวภาพ เราไม่ควรยอมให้พื้นที่ลุ่มน้ำของไทยกลายเป็น ‘โรงกำจัดสารพิษข้ามแดน’ ให้ทุนจีนที่ทำเหมืองต้นน้ำ เราไม่ได้รับประโยชน์ แต่กลับต้องแบกรับภาระ” นายสมเกียรติกล่าว

สถานการณ์ปัจจุบัน ชุมชนตามลำน้ำกก สาย รวก และโขง ตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินมาตรฐานทุกจุด ชาวบ้านในหลายพื้นที่ต้องหยุดใช้น้ำจากแม่น้ำ และหันมาซื้อน้ำสะอาดในราคาสูง ส่งผลให้บางครอบครัวมีค่าใช้น้ำถึงกว่า 3,000 บาทต่อเดือน ขณะที่แผนการสร้างฝายกลับใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล

ตามแผนของกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการวางงบประมาณสำหรับการดำเนินการระยะสั้นรวม 976 ล้านบาท และในระยะยาวสูงถึง 7,640 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษาประจำปีอีกหลายร้อยล้านบาท โดยจะมีการสร้างฝายดักตะกอน 10 แห่ง แก้มลิง 14 แห่ง และประตูระบายน้ำ 13 แห่ง พร้อมทั้งระบบดูดซับและบำบัดสารพิษ

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ยังได้ยกกรณีศึกษาจากลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเคยมีการสร้างฝายเพื่อฟื้นฟูแหล่งน้ำปนเปื้อนสารตะกั่ว แต่กลับล้มเหลว ทั้งในด้านประสิทธิภาพการดักจับโลหะหนัก ผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความล่าช้า และขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน ศาลปกครองสูงสุดยังได้ชี้ว่าแนวทางดังกล่าว “ไม่เพียงพอและไม่ตรงจุด” พร้อมสั่งให้รัฐปรับแผนใหม่ร่วมกับชาวบ้าน

นายสายัณห์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมฯ กล่าวว่า การสร้างฝายเพื่อแก้ปัญหาสารพิษเป็นมาตรการที่ไม่ควรเป็น “คำตอบแรก” และไม่ใช่ “การแก้ปัญหาเร่งด่วน” ที่แท้จริง ข้อเรียกร้องสำคัญของภาคประชาชนคือ “การจัดหาน้ำสะอาดดื่มใช้ให้ชุมชนทันที” และ “การเจรจาระหว่างประเทศเพื่อปิดเหมืองต้นน้ำ” ก่อนจะพิจารณาใช้มาตรการทางเทคนิคอื่น ๆ

“ต่อให้สร้างฝายเป็นหมื่นแห่ง ก็ไม่สามารถหยุดสารพิษได้ ถ้าไม่หยุดเหมืองต้นน้ำ การสร้างฝายตอนนี้เหมือนเรายอมรับบทเป็นโรงกำจัดสารพิษให้กับผู้ก่อมลพิษ ซึ่งเราไม่ควรยอมเด็ดขาด” นายสายัณห์กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนในลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ยืนยันข้อเรียกร้องเร่งด่วนต่อรัฐบาล 3 ประการ ได้แก่

1. เร่งจัดหาน้ำสะอาดดื่ม–ใช้ ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

2. ดำเนินการทางการทูตเพื่อเจรจาปิดเหมืองต้นน้ำทันที

3. หยุดแผนสร้างฝายดักตะกอน จนกว่าจะมีการประเมินผลกระทบและรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนอย่างรอบด้าน

รัฐบาลไทยในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน ควรยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนในลุ่มน้ำต้องแบกรับภาระจากกิจกรรมที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย สมาคมฯ ระบุว่าการรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ต้องไม่เป็นเพียงการ “ควบคุมผลลัพธ์” แต่ต้องเริ่มจาก “การหยุดต้นเหตุ” อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด


คุณอาจสนใจ

Related News