สังคม
อธิบดีอุทยานฯ ยันจัดเก็บรายได้ท่องเที่ยวโปร่งใส แจงเงินกว่า 2 พันล้าน ยังไม่พอบริหารจัดการ
โดย nutda_t
28 เม.ย. 2568
359 views
นายอรรพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมด้วยทีมผู้บริหารกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ชี้แจงกรณี ความโปร่งใสการบริหารจัดการเงินอุทยานแห่งชาติฯ หลังถูกตั้งคำถามกรณีการใช้เงินรายได้จัดซื้อเรือตรวจการ และกรณีเงินทอน ให้กลุ่มนักการเมือง
นายอรรพล กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติฯ ถูกตั้งข้อกล่าวหาและการพาดพิง ซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย ในวันนี้จึงต้องมีการแถลงข่าวเพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจในการบริหารจัดการเงินรายได้ ซึ่งการแถลงข่าววันนี้ เป็นการชี้แจงการทำงานของกรมอุทยานแห่งชาติฯ จากนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการให้บริการด้านการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งในปีนี้ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังสามารถจัดเก็บรายได้
โดยในปีนี้ อุทยานแห่งชาติ มีนักท่องเที่ยวชาวต่าวชาติ เข้าเที่ยวในเขตพื้นที่ประมาณ 3-4 ล้านคน โดยอุทยานแห่งชาติทางทะเล ในปีที่ผ่านมาสามารถจัดเก็บรายได้ประมาณ 2,000 ล้าน ซึ่งในพื้นที่อุทยานทางทะเล มีความจำเป็นต้องเสริมสมรรถนะกำลังหน้าที่ในการดูแลทรัพยากรทางทะเลและจำเป็นต้องควบคุมการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยว ซึ่งทางกรมฯ มีมาตรการเข้มงวด เพียงแต่ในบางพื้นที่ก็มีความจำเป็นต้องใช้เครือข่าย ใช้กลุ่มผู้ประกอบการ และประชาชนในการร่วมดูแล เช่นเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าว ช่วง1-2 วันที่ผ่านมา ที่ได้รับแจ้งจากไกด์นำเที่ยว พบเห็นนักท่องเที่ยวดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในเขตพื้นที่อุทยาน ทำให้ทางเจ้าหน้าที่สามารถเร่งติดตาม และดำเนินการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว ซึ่งชี้ให้ถึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่ร่วมกันดูแล จึงอยากเน้นย้ำว่าการทำงานของกรมฯ มีมาตรการดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
สำหรับข้อมูลที่เปิดเผย ทางกรมฯมีเงินรายได้ 2,000 กว่าล้าน ถามว่าเพียงพอหรือไม่ ยอมรับว่าไม่เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการอุทยานที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 73 ล้านไร่ โดยมีรายจ่ายประจำเฉลี่ย 1,400 ล้าน ทั้งให้ท้องถิ่น ร้อยละ 5 ของรายได้เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการบริหารจัดการ , ค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่ และรายจ่ายประจำในโครงการอื่นๆ เช่น โครงการแก้ปัญหาเรื่องช้าง หรือโครงการควบคุมไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนเงินส่วนที่เหลือจากรายได้ประมาณ 600-700 ล้านบาท จะนำไปใช้สำหรับการจัดจัดซื้ออุปกรณ์ ทำนุบำรุงบ้านพัก และเป็นเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องเบียดบังเงินซึ่งจัดเก็บเป็นเงินรายได้จากค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยาน เพราะหากมีรายได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถนำเงินเหล่านี้มาใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาการทำงาน ของกรมฯให้ดีขึ้น
ส่วนกรณีการโครงการซื้อเรือ ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากในเขตอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ที่ต้องใช้เรือในการเดินทาง เช่น อุทยานทางทะเล อุทยานแห่งชาติสาละวิน ซึ่งหลังจากนี้ ยังมีโครงการจัดซื้อเพิ่มอีก 40 ลำ ที่ผ่านมาการดำเนินการไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ของบริษัทใด รวมทั้งไม่ได้มีการกดดัน หรือจัดการจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง เช่น ฝ่ายการเมืองรัฐมนตรี ซึ่งทางกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ ได้ชี้แจงแถลงการณ์ไปก่อนหน้านี้ แล้ว
ดังนั้นการจัดเก็บเงินรายได้ ยิ่งเก็บเงินได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถนำเงินไปพัฒนาได้มากเท่านั้น สามารถนำไปเพิ่มสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ได้ ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ทำงานกันหนักมาก ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่อนุรักษ์โดยตรง ในการท่องเที่ยวมีคนที่ทำผิดกฎ ฝ่าฝืนกฎทุกวัน แต่ทางกรมฯ ก็มีมาตรการในการกำกับดูแล โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องเข้มงวด หากมีการปล่อยปละละเลย หรือเจ้าหน้าที่ทุจริตเรื่องนี้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะไม่ยอมเด็ดขาด
ซึ่งเรื่องการจัดเก็บรายได้กรณีค่าเข้าอุทยานและบริการอื่นๆ ทางกรมฯ ดำเนินการ พัฒนาและนำระบบ E-national Park เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใสสามารถตรวจสอบ ใช้งบประมาณ 67 ล้านบาท มี 3 ส่วนหลัก ใช้ระบบการจ่ายด้วยเงินสด จ่ายตรง / ระบบ E-Ticket / และระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยว การอนุมัติอนุญาตต่างๆ เช่น การจองบ้านพักการขออนุญาตสำหรับเข้าใช้พื้นที่การทำกิจกรรมหรือถ่ายทำภาพยนตร์ โดยในวันนี้อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างการทำระบบ
"ผมขอเน้นย้ำอีกครั้ง การแก้ไขหรือดำเนินการพื้นที่อุทยานฯ ต้องเกิดจากทุกฝ่ายร่วมกันทำงาน ไม่สามารถดำเนินการด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ หากมีปัญหาข้อขัดแย้งกระทบในเชิงกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามข้อกฎหมาย แต่หากอยู่ในจุดที่สามารถพูดคุยได้ ก็ต้องมีการผ่อนปรนหรือพูดคุยทำความเข้าใจกัน คงไม่สามารถใช้วิธีทางกฎหมายทั้งหมด เพราะเชื่อว่าหลายบุคคลไม่ได้ตั้งใจที่จะฝ่าฝืนกฎระเบียบ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนการพูดคุยด้วยทุกคนต้องร่วมมือกัน
ทั้งนี้เรายังมุ่งมั่นและไม่เสียกำลังใจในการทำหน้าที่ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และทำให้พื้นที่อุทยานเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน สร้างเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประเทศเรา พร้อมที่จะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อประโยชน์ของประเทศและอุทยาน
ส่วนกรณีการลงพื้นที่ของชุด ป.ป.ช.ในตรวจสอบการจัดเก็บค่าเข้าอุทยาน ที่อุทยานแห่งชาติสิมิลัน ขณะนี้ยังรอผลการสรุปความเห็นของ ป.ป.ช."
ทั้งนี้การนำระบบ E-ticket ที่ได้รับการพัฒนามาใช้ในการซื้อตั๋วเข้าพื้นที่อุทยาน จะเริ่มนำร่องในวันที่ 15 ตุลาคม โดยใช้กับเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลก่อน (ไม่มีการเปิดให้ซื้อตั๋วเข้าด้วยเงินสด ) โดยระบบนี้มีความแตกต่างจากเดิมคือ จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนเพื่อระบุผู้เข้าพื้นที่ให้ชัดเจน ซึ่งต้องใช้เลขประจำตัวประชาชนในกรณีคนไทยและเลขประจำตัวหนังสือเดินทางในกรณีชาวต่างชาติ เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหาบางครั้งบริษัทนำเที่ยวไม่ได้ระบุตัวตนของผู้เข้าอุทยานฯชัดเจน โดยระบุเพียงจำนวนคนทำให้การคิดเงินค่าเข้าอุทยานไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะค่าบริการของคนไทยและต่างชาติมีราคาต่างกัน
นอกจากนั้นเพื่อความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ทางกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ จะจัดเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมสุ่มตรวจกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้าใช้บริการพื้นที่ว่าซื้อตั๋วถูกต้องหรือไม่ รวมทั้งตรวจตราการทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติในพื้นที่อุทยาน
ด้าน นายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินของอุทยานแห่งชาติในปี 2568 ซึ่งมีอธิบดีเป็นประธานในการอนุมัติโครงการที่ใช้จ่ายเงินอุทยานไปแล้ว เป็นวงเงิน 2,181 ล้านบาท หรือร้อยละ 99 ของงบประมาณทั้งหมด โดยเงินอุทยานจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
ประเภท ก ร้อยละ 5 จำนวน 102.23 ล้านบาท เป็นเงินที่ต้องให้แก่เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบลท้องที่ที่เป็นที่ตั้งของอุทยาน
ประเภท ข ร้อยละ 20 จำนวน 316.59 ล้านบาท เป็นเงินงบบริหารจัดการที่จัดสรรคืนให้แต่ละอุทยานแห่งชาติ ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปีต่อแห่ง
ประเภท ค ร้อยละ 60 จำนวน 1222.44 ล้านบาท เป็นเงินงบบำรุงรักษาใช้สำหรับการอนุรักษ์ฟื้นฟูและบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ
และประเภท ง ร้อยละ 15 จำนวน 540.55 ล้านบาท เป็นเงินงบสำรองใช้สำหรับกรณีจำเป็นเร่งด่วนฉุกเฉิน โดยที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติมีโครงการ เช่น โครงการจ้างเหมาพนักงานป้องกันไฟป่าใช้งบประมาณ 320 ล้านบาท , โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวนสนับสนุนในการปฏิบัติราชการนอกเวลาถ้าลาดตระเวนและค้างแรมในป่าคนละ 14 วันต่อเดือนใช้งบประมาณ 164 ล้านบาท , หรือโครงการนักเรียนนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานที่ใช้งบประมาณไป 18 ล้านบาท , โครงการจัดตั้งชุดเคลื่อนที่แก้ไขปัญหาช้างซึ่งใช้งบ ประมาณ 41 ล้านบาท , การบินตรวจพื้นที่อุทยานใช้เงินประมาณ 20 ล้านบาท , เงินสวัสดิการและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่เสียชีวิตใช้งบ 1.4 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับการดูแลสวัสดิการเจ้าหน้าที่ ซึ่งทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ 18,533 ราย เป็นข้าราชการ 534 รายลูกจ้างประจำ 359 รายพนักงานราชการ 5,771 ราย ลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน 757 ราย บุคคลภายนอกที่ได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน 3,388 ราย และการจ้างเหมาพนักงาน 7,724 ราย ซึ่งนอกเหนือจากสวัสดิการของภาครัฐแล้ว ก็จะมีกองทุนช่วยเหลือจากหน่วยงาน ภาคเอกชน และเงินจัดสรรจากเงินรายได้ เช่น ในกรณีช่วยเหลือการเสียชีวิตจากการปะทะต่อสู้ลาดตระเวนหรือถูกสัตว์ป่าทำร้ายซึ่งมีเงินชดเชย 500,000 บาทต่อคน และกรณีเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่อื่นชดเชยให้ 400,000 บาท , กรณีบาดเจ็บจนพิการช่วยเหลือรายละ 300,000 บาท แต่นโยบายรัฐมนตรี ปีนี้ มีการเสนอปรับเพิ่มเติมในกรณีการเสียชีวิต ปรับเป็นรายละ 1 ล้านบาท , กรณีบาดเจ็บทุพพลภาพหรือพิการ ปรับเพิ่มไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท กรณีสูญเสียอวัยวะสูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
แท็กที่เกี่ยวข้อง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช