สังคม

เปิดตัวเลข รัฐสูญเสียเงินจากขบวนการ “ฉีกตั๋วผี อุทยานสิมิลัน” เพียง 2 ชม. เป็นเงิน 1.5 แสนบาท

27 มี.ค. 2568

576 views

ประธานชุด ฉก.ฉลามอันดามัน เผยตัวเลขรัฐสูญเสียเงินจากขบวนการ “ฉีกตั๋วผี” เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเป็นเงินกว่า 1.5 แสนบาท เซ่นปมย้าย “หัวหน้าอุทยานฯ สิมิลัน” เผย ป.ป.ช.เตรียมพิจารณายกเหตุอันควรสงสัย ตั้งเรื่องขึ้นมาไต่สวน ยันไม่หวั่นกังวลหากต้องชนกับผู้มีอิทธิพล

จากกรณี คณะทำงานของ ป.ป.ช. ชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ หรือชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” นำโดย นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 (ที่ปรึกษาคณะทำงาน) นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 (ที่ปรึกษาคณะทำงาน) นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง (คณะทำงานและเลขานุการ) นายปิยะวัฒน์ คุระพูล ผอ.กลุ่มประสานการป้องกันการทุจริตภาค 9 และเจ้าหน้าที่คณะทำงานร่วมกว่า 30 คน

ลงพื้นที่สุ่มตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณ เกาะสี่ และ เกาะแปด อย่างเป็นความลับ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งอุทยานฯดังกล่าว เป็นอีก 1 แห่ง ที่ประกาศให้มีการจัดเก็บรายได้แบบ E-Ticket หรือตั๋วแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเต็ม 100 เปอร์เซ็น โดยไม่มีการจัดเก็บแบบฉีกตั๋วจ่ายเงินสด ตามมาตรการของทาง ป.ป.ช. ที่มีการเสนอไป เพื่อที่การจัดเก็บจะได้มีความโปร่งใส และลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของเงินเข้าสู่ตัวบุคล

จากการลงตรวจสอบกลับพบเห็นและปรากฏข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัดว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่นำผู้โดยสารเดินทางเข้ามา มีจำนวนนักท่องเที่ยวจริงที่เยอะกว่าจำนวนยอดที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket ที่มีการระบุเอาไว้ เช่นเรือ 1 ลำ นำผู้โดยสารเข้ามาจำนวน 50-60 คน แต่ไกด์นำเที่ยวกลับนำคิวอาร์โค้ดยอดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket มาเพียงแค่ 5 คน รวมทั้งจำนวนสัญชาตินักท่องเที่ยวแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เช่นระบุเรือลำหนึ่ง เป็นชาวไทยซึ่งจะต้องจ่ายค่าตั๋วในราคา 100 บาท ผ่านระบบ E-Ticket เดินทางมาจำนวน 10-20 คน แต่กลับพบข้อเท็จจริงว่าเรือลำดังกล่าวเป็นชาวต่างชาติที่จะต้องจ่ายค่าตั๋วในราคา 500 บาท ทั้งลำ ไม่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยแม้แต่คนเดียว อีกทั้งลูกจ้างของอุทยานฯ ที่อยู่ประจำจุด ไม่ได้มีการนับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดทุกลำ

จนกระทั่งวานนี้ (26 มี.ค. 2568) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีคำสั่งย้าย นายฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ออกจากพื้นที่ โดยให้ไปประจำที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทันที โดยอธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุว่า ตามกระบวนการ หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ต้องชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นก่อนเพื่อความเป็นธรรม ก่อนนำมาประกอบข้อมูลกับ ป.ป.ช. จ.ตรังที่พบ หากพบว่าผิดจริงจะดำเนินการตามขั้นตอนทางวินัย ที่เน้นย้ำเป็นนโยบายหลักของกรมอุทยานฯ ในเรื่องความโปร่งใส และขณะนี้ให้ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน รักษาการแทน

ประเด็นคืบหน้าดังกล่าวนี้ วันที่ 27 มี.ค. 2568 นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง และประธานคณะทำงานของ ป.ป.ช. ชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ หรือชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” เปิดเผยว่า จากการลงไปสุ่มตรวจสอบเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้ข้อมูลแยกออกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1.จำนวนนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket น้อยกว่าที่คณะทำงานนับได้ และประเด็นที่ 2.จำนวนนักท่องเที่ยวที่ระบุซื้อตั๋วไว้ในระบบ E-Ticket เป็นคนไทย แต่จากการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นชาวต่างชาติ

การตรวจสอบใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ คณะทำงานได้นับจำนวนเรือที่เข้ามาเทียบชายหาด จำนวน 12 ลำ ซึ่งเรือเพียงแค่ 12 ลำดังกล่าวเมื่อนำยอดนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ซื้อตั๋วอยู่ในระบบ E-Ticket ทำให้รัฐต้องเสียหายเป็นตัวเลขประมาณ 156,300 บาท ส่วนยอดตามที่ระบุอยู่ในระบบ E-Ticket เดินทางจากเกาะ 8 ไป เกาะ 4 จำนวน 1,700 คน และจากเกาะ 4 ไป เกาะ 8 จำนวน 1,625 คน ส่วนยอดจำนวนนักท่องเที่ยวจริงจะกี่คนนั้นยังอยู่ระหว่างคณะทำงานกำลังตรวจสอบอย่างละเอียดครบถ้วนอีกครั้ง

ตั้งข้อสันนิษฐานและเข้าใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้มีมานาน เนื่องจากการลงไปตรวจสอบใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงกลับได้ยอดนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วนอกระบบจำนวนมาก และทำให้รัฐต้องเสียหายได้ถึงขนาดนี้ จึงเชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่วันลงสุ่มตรวจสอบแค่วันเดียวเท่านั้น น่าจะเกิดขึ้นมานาน เพียงแค่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงไปตรวจสอบ

คณะทำงานชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” เป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดยท่านเลขา สำนักงาน ป.ป.ช. แต่งตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจในการตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ รับผิดชอบฝั่งทะเลอันดามันทั้งหมด เราได้ดำเนินการตรวจสอบมาตั้งแต่พื้นที่ จ.ตรัง พื้นที่ จ.กระบี่ และล่าสุดพื้นที่ใน จ.พังงา กระทั้งพบข้อเท็จจริงดังกล่าว

ขั้นตอนขบวนการหลังนี้ทาง ป.ป.ช. จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อที่จะพิจารณาว่าจะยกเหตุอันควรสงสัยขึ้นมาดำเนินการไต่สวนหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ พร้อมทั้งได้มีการประชุดคณะทำงานไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ต้องกลั่นกรองข้อเท็จจริงทั้งหมดออกมาให้เป็นตัวเลขให้ชัดเจน หลังจากนั้นจึงจะนำมาดูว่าจะยกเหตุอันควรสงสัยหรือไม่

การกระทำในลักษณะเช่นนี้ตนเชื่อโดยส่วนตัวว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้าไปเกี่ยวจ้องคงยากที่จะดำเนินการได้ น่าจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับไหนอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยจากที่ผู้สื่อข่าวสอบถามมาว่า เท่าที่มีข้อมูลทราบว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางราย เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง หรือมีความสัมพันธ์กันและอาจะเป็นผู้มีอิทธิพลนั้น

“ตนในฐานะประธานคณะทำงานชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” ของยืนยันและขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า เราไม่ได้กังวล เพราะเรารู้มาตั้งแต่ตนแล้วว่า เราทำงานในลักษณะนี้ มันจะต้องพบปะกับผู้มีอิทธิพลแน่นอน เพราะว่าเป็นธุรกิจใหญ่ ไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ ฉะนั้นผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องไม่ใช่ผู้ที่ตัวเล็กๆเช่นกัน เราทำใจรับสภาพไว้แล้วและไม่ได้กังวลว่าแรงเสียดทานหรือสภาพใดๆที่จะเกิดขึ้น ถ้ากังวลเรื่องนี้เราคงทำงานไม่ได้” ประธานคณะทำงาน ชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดแล้วประเทศชาติ ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมหาศาลที่เล็ดลอดออกไปจากขบวนการ “ตั๋วผี” เหล่านี้ และเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไหลเข้าไปสู่กระเป๋าของใคร เจ้าหน้าที่รัฐแทนที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับไปรวมหัวกันกอบโกยเข้าตัวหรือแบ่งส่งต่อให้กับนายใหญ่ด้วยหรือไม่อย่างไรยังไม่ทราบได้ในขณะนี้ ต้องคอยพิสูจน์จากการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดย ชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” ว่าจะกระชากหน้ากากแก๊ง “ตั๋วผี” ออกมาได้หรือไม่กันต่อไป.



คุณอาจสนใจ