สังคม

บุกจับหนุ่มจีนวัย 19 เช่าห้องกลางกรุง ตั้งซิมบ็อกซ์รุ่นใหม่ ตุ๋นคนไทย ขยายผลค้นอีก หลังพบเปิดห้องอีกหลายที่

โดย passamon_a

26 ธ.ค. 2567

84 views

ชุดสืบนครบาล บุกตรวจค้นอพาร์ทเม้นท์ ย่านหัวหมาก ยึดเครื่องซิมบ็อกซ์ 8 เครื่อง ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ใช้หลอกคนไทย จับหนุ่มชาวจีน วัย 19 ปี ที่เฝ้าห้อง พบสัญญาเช่าห้องจำนวนมาก ตร.เผยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเลี่ยงตำรวจตรวจยึดซิม ขยายผลค้นอีก 14 จุด


เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.67 ชุดสืบสวนนครบาล เข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ 2116/101 ชั้น 5 อาคาร 1 อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ในซอยรามคำแหง 24/3 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ลักษณะเป็นอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าสูง 7 ชั้น ปลูกติดกันหลายอาคาร อยู่ห่างจาก สน.หัวหมาก ไม่ถึง 200 เมตร พร้อมตรวจยึดของกลาง อาทิ อุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 8 ชุด รุ่นไม่มีซิมการ์ด (แบบใหม่) / เราเตอร์ อินเทอร์เน็ต จำนวน 2 เครื่อง / สวิตช์ฮับ จำนวน 1 เครื่อง / กล้องวงจรปิด จำนวน 1 เครื่อง / อุปกรณ์สำรองไฟ จำนวน 1 เครื่อง / กระเป๋าโน๊ตบุ๊ค จำนวน 1 ใบ (พบบนเตียง) / กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สีฟ้า จำนวน 1 ใบ / อุปกรณ์สายแลน จำนวน 8 สาย / กล่องลังใส่ SIM BOX จำนวน 8 กล่อง (พบในตู้เสื้อผ้า)


นอกจากนี้ ตำรวจยังได้เข้าตรวจห้องพักเลขที่ 511 AT รัชดา ถ.รัชดาภิเษก เขตดินแดง กทม. และได้ทำจับกุมตัว Mr.MINGHONG TAN หรือคุนหมิง อายุ 19 ปี สัญชาติจีน พร้อมแฟนสาว (นายคุนหมิงเป็นผู้เช่าห้องพักเลขที่ 2116/101 อาคาร 1 อพาร์ทเม้นท์ในซอยรามคำแหง 24/3 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. เพื่อวางเครื่อง SIM BOX)


จากการสอบถาม Mr.MINGHONG TAN ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ระบุตนเป็นเพียงนายหน้ารับเช่าห้องพักใน กทม. ให้คนจีน จากการตรวจสอบห้องพัก พบสัญญาเช่าจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น. อยู่ระหว่างทำการตรวจสอบเพิ่มเติม จากการสืบสวนการกระทำดังกล่าวของกลุ่มคนร้ายมีการใช้เครื่องมือ SIM BOX เป็นตัวกลางในการโทรศัพท์มาจากต่างประเทศผ่านเครื่อง SIM BOX เพื่อให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนเครื่องโทรศัพท์มือถือของเหยื่อหรือผู้เสียหาย เป็นหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทย


สำหรับคดีนี้ตำรวจสืบนครบาลได้ตรวจสอบผู้เสียหายที่ถูกขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยแกะรอยจากคดีผู้เสียหายจากอยุธยา อ้างตำรวจ สภ.เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ความเสียหาย 10,600 บาท แจ้งความผ่านศูนย์ AOC 1441 โดยใช้เวลาตรวจสอบกว่า 30 วัน จนกระทั่งพบออฟฟิศสั่งการอยู่ย่านหัวหมาก มีตั้งกล้องวงปิด ดูหน้าห้องสั่งการผ่านทางออนไลน์จากที่อื่น


ขณะที่ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) เดินทางไปตรวจสอบที่ห้องพักเลขที่ 2116/101 อาคาร 1 อพาร์ทเม้นท์ในซอยรามคำแหง 24/3 เขตบางกะปิ เพื่อตรวจสอบเครื่องซิมบ็อกซ์ของกลาง พร้อมอุปกรณ์อย่างอื่น ก่อนที่จะมีการพูดคุยกับผู้ต้องหาชาวจีนผ่านล่าม โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาปฏิเสธ ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับห้องดังกล่าว โดยตัวเองเข้ามาประเทศไทยในฐานะนักศึกษา


พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า จากการสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ขยายผลจากผู้เสียหายที่ได้มีการแจ้งความทางออนไลน์ไว้กว่า 100 คดี จนพบการลักลอบใช้ซิมบ็อกซ์นำมาใช้หลอกลวงคนไทยของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้พบคนร้ายใช้ห้องพักที่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ มีซิมบ็อกซ์ทั้งหมด 8 ซิมบ็อกซ์ ซึ่งหนึ่งบ็อกซ์จะมี 32 ซิม รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ


ครั้งนี้พบวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างชัดเจน 2 วิธี ดังนี้ 1. สัญญาณที่ส่งมาใช้ซิมบ็อกซ์ไม่ได้มาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในประเทศกัมพูชา เมียนมา ลาว แต่มาจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นวิธีการปรับเปลี่ยนไม่ให้ตำรวจเช็คที่มาของสัญญาณได้ หลังจากนี้จะขยายผลหาจุดที่แท้จริงของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเดิมเชื่อว่าอยู่ในจุดเดิม ๆ ที่เคยจับกุมได้


2. ซิมบ็อกซ์ที่ได้มาในครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ โดยพบว่าครั้งนี้ไม่พบซิมการ์ดเลย โดยซิมอยู่ในต่างประเทศทั้งหมดเป็นวิธีการเลี่ยงไม่ให้ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ที่ลงทะเบียนซิมรวมถึงผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตำรวจจะสามารถขยายผลได้


พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า การดำเนินคดีสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน เป็นผู้ดูแลอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ และผู้ทำสัญญาเช่า เข้าประเทศไทยมาได้ 2-3 เดือน จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาใช้ชื่อเปิดห้องพักอีกหลายพื้นที่ โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ทั้งนี้พยานหลักฐานของตำรวจค่อนข้างชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องเข้ามาดูแลซิมบ็อกซ์ ซึ่งมีการขยายผลตรวจค้นอีก 14 จุด ขณะที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่าภายในห้องพัก มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ตำรวจ บก.สส.บช.น. อยู่ระหว่างทำการตรวจสอบเพิ่มเติม  


จากการสืบสวนการกระทำดังกล่าวของกลุ่มคนร้ายมีการใช้เครื่องมือซิมบ็อกซ์เป็นตัวกลางในการโทรศัพท์มาจากต่างประเทศผ่านเครื่องซิมบ็อกซ์ เพื่อให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนเครื่องโทรศัพท์มือถือของเหยื่อหรือผู้เสียหายเป็นหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทย ส่วนการดำเนินการกับผู้ที่เปิดซิม ทางตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผล ซึ่งจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ขายซิมและผู้ที่ลงทะเบียนให้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไปขายซิมให้กับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะต้องถูกจับกุม ฐานตัวการหรือร่วมสนับสนุนขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์


เมื่อถามถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขีดเส้นปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ทันภายในปี 2568 พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ตำรวจมั่นใจว่าทำตามนโยบายรัฐบาลได้ ตำรวจทำงานเต็มที่ร่วมกันหลายหน่วยงาน คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีจำนวนมากทำให้การทำงานของตำรวจต้องปรับตัวอย่างมาก ข้อมูลต่าง ๆ ต้องได้มาอย่างรวดเร็ว รวมถึงข้อมูลธนาคารต่าง ๆ ทำให้หลายหน่วยต้องปรับตัว


โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ไม่กดดันที่มีการกำหนดวันเพราะเป็นเรื่องที่ดีที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ และเป็นของขวัญให้กับประชาชน ส่วนการทำงานมีหลายวิธีในการดำเนินการผ่านอินเตอร์โพล รวมถึงการทำงานในการพูดคุยหาความร่วมมือเพื่อบังคับใช้กฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กันไป


ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน มี ใช้ นำเข้า นำออกหรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตาม ม.6 พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตาม ม.11 พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 3 ตาม ม.67(3) พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองรายเจ้าหน้าที่คุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/1H-d7f05Ysk

คุณอาจสนใจ

Related News