สังคม

‘ทนายสายหยุด’ จ่อถอนตัวทำคดี ‘ทนายตั้ม’ – ‘ปานเทพ’ ชี้ ‘ทนายตั้ม’ ดิ้นยากเปลี่ยนคดีฉ้อโกง เป็นคดีแพ่ง

โดย thichaphat_d

3 ชั่วโมงที่แล้ว

85 views

วานนี้ 24 พ.ย. 2567 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เผยความคืบหน้าคดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โดยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ระบุว่า

“วันนี้ (24 พ.ย.) ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ ได้รับการประสานจาก นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือฉายา ทนายปาเกียว ทนายความคู่ใจผู้ได้รับการมอบหมายจาก "ทนายตั้ม" นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นผู้ทำคดีฉ้อโกง "มาดามอ้อย" จตุพร อุบลเลิศ จำนวน 71 ล้านบาท และคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องว่า ในวันพรุ่งนี้ (วันจันทร์ที่ 25 พ.ย.) ตนจะเดินทางไปที่ห้องส่งรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพื่อแถลงข่าวกับพิธีกร คือ "หนุ่ม" นายกรรชัย กำเนิดพลอย ให้สังคมได้รับทราบว่า ตนจะขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความของนายษิทรา

โดยนายสายหยุดให้เหตุผลว่า เนื่องจากขณะนี้รู้สึกตัวว่า ตนเองถูกหลอก โดยเฉพาะจากพยานหลักฐานที่ นายษิทรา ตระเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ เช่น สัญญาการว่าจ้างทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ ที่เป็นเพียงฉบับร่าง ตอนนี้เอกสารในมือทนายความไม่มีลายเซ็นผู้ใดเลย ประกอบกับได้ทำการสืบสวนในทางลับแล้วว่า เฉพาะสัญญาฉบับนี้ มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไข จากคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงานกฎหมายของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด มาจำนวนหลายครั้ง ก่อนที่จะส่งถึงมือตนเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า นายษิทรา อาจพยายามปิดบังข้อเท็จจริง เหล่านี้ทำให้ตน มิอาจรับทำหน้าที่ทนายความในคดีนี้ให้กับนายษิทราให้ต่อไปอีก

ทั้งนี้ ทนายสายหยุด ยังให้เหตุผลในตอนหนึ่งด้วยว่า ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หนึ่งในทีมงานบ้านพระอาทิตย์ ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ตนมีการยื่นข้อมูลพยานและหลักฐานต่างๆ ในคดีให้พนักงานสอบสวนบ้างหรือยัง? โดยตนยืนยันว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นพยานหลักฐานใดๆ ให้พนักงานสอบสวน มิเช่นนั้น เท่ากับว่าตนจะเป็นทนายความที่ไม่ได้ทำงานตามข้อเท็จจริงหรืออาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ โดยความรู้สึกส่วนตัวของนายสายหยุดนั้น มิอาจทนทานกระแสสังคมได้ไหว เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่ตราหน้า และกล่าวหาว่าตนเองเป็นทนายความไร้จริยธรรม ดังนั้นในวันพรุ่งนี้จึงได้เตรียมข้อแถลงการณ์ จำนวน 4-5 ข้อ ไปออกรายการโหนกระแสเพื่อขอยุติบทบาทการเป็นทนายความให้กับนายษิทรา”

ขณะเดียวกัน นายปานเทพได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ ทนายตั้ม ประเมินสถานการณ์ไม่ถูก แม้จะมีทนายเข้าไปรายงานสถานการณ์ แต่ก็ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ข้างนอก อาจจะประเมินเข้าข้างตัวเองว่ามีประเด็นที่จะสามารถต่อสู้ได้ และหากดูจากน้ำเสียงของทนาย สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้ม ก็ประเมินสถานการณ์ว่า หากยังคงเดินหน้าประเด็นที่ว่า ได้รับเงิน 71 ล้านมาโดยเสน่หา จะไม่สามารถสู้คดีได้

ดังนั้นทนายสายหยุดจึงคิดจะแปลงเป็นคดีแพ่ง แล้วให้มีการคืนเงินแทน ทำให้นายสายหยุด เพ็งบุญชู กับทนายตั้มอาจมีความคิดไม่เหมือนกันแล้ว จะเห็นว่าทนายสายหยุด เป็นคนที่มีคุณธรรม แล้วหวังว่าจะยืนหยัดในทางที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับทนายตั้ม และขึ้นอยู่กับว่าทนายตั้มจะไว้วางใจทนายสายหยุดแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานทนายความ ของทนายตั้ม ให้น้ำหนักนายอาคม คงสวัสดิ์ หรือทนายอาคมมากกว่าทนายสายหยุด แต่เนื่องจากมีเรื่องบาดหมางกัน ทำให้ทนายอาคมไม่ได้ทำคดีให้ แต่วันนี้ตนเชื่อว่าทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้มประเมินสถานการณ์ถูก ว่าขณะนี้ทนายตั้มเสียเปรียบ และการจะลดความเสียเปรียบได้ดีที่สุดคือการสารภาพ แล้วคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง นายปานเทพกล่าวว่า ตอนนี้ถือว่ายากแล้ว เพราะการที่ทนายตั้มเตรียมสัญญาไว้ตั้งแต่ต้น สะท้อนให้เห็นว่ามีการคิดวางแผนโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟอกความผิดให้ตัวเองหลังกระทำผิด และน่าเสียดายที่ประเมินสถานการณ์ต่ำไป เพราะแชทข้อความทั้งหมดได้ถูกส่งไฟล์ที่ถูกต้องทั่งหมดไปให้กับคู่กรณี ดังนั้นคดีนี้จึงดิ้นยากมาก ที่จะเปลี่ยนจากคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง เพราะตอนนี้เป็นคดีฉ้อโกงแน่นอน

"ทั้งวิธีการของทนายตั้ม และการจะทำสัญญา แบบไม่ให้ เซ็นสัญญาทุกหน้าไว้ล่วงหน้า ซึ่งเห็นว่าระดับสอบเนติบัณฑิตได้แต่กลับมาทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาอยู่แล้ว แต่แรกที่จะเอาเงินคู่กรณี ไม่ได้ใช้ความคิดในการลงทุนอะไร ยิ่งได้เงินมาแล้วนำไปซื้อบ้าน ยิ่งถือว่าไม่มีเหตุผล แล้ววันแรกที่ได้เงินมา กลับนำไปใช้สอยอย่างมโหฬาร และหลังจากนั้น 1 เดือนก็ไปซื้อบ้านด้วยเงินสด จากนั้นโอกาสที่จะแก้ให้เป็นคดีแพ่ง ถือว่ายากมาก"



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/C5xxEEzSklw

คุณอาจสนใจ

Related News