สังคม

'เชน ธนา' ร่ำไห้ ยันไม่มีเจตนาโกง พยายามใช้หนี้แล้วกว่า 100 ล้าน แจงอวดบ้าน-รถ ช่วงก่อนโควิด

โดย petchpawee_k

19 พ.ย. 2567

38 views

เปิดใจเหยื่อ 79 ล้าน แฉ “เชน ธนา” ฉ้อโกง ร่ายยิบตั้งแต่ลงทุนด้วยวันแรก สุดท้ายเบี้ยวนัดชำระ ยันสินค้าได้คุณภาพ ลั่น คู่กรณีเคยให้ไปหาเงินกู้ให้ เพื่อเอามาจ่ายตัวเอง ก่อนเอะใจ ผิดวิสัยคนทำธุรกิจ - ขณะที่ผู้เสียหายอีกราย 4 ล้านบาท บอก รู้สึกงง หลังเห็นเอาของมาเทขายต่ำกว่าทุน แถมไม่ยอมเจรจา - ขู่เรียก 10 ล้าน อ้างทำเสียโอกาสทางการขาย ถามมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ระบุ ยังหวังได้เงินคืน ก่อนประสานเสียงวอน “เอาเงินมาคืนเราด้วย”

กรณีที่ตำรวจกองปราบออกหมายเรียกอดีตนักร้องชื่อดัง “เชน ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์” หรือ “เชน ธนา ลิมปยารยะ” เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ฉ้อโกงเงิน 79 ล้านบาท หลังทำหนังสือขอเลื่อนกำหนดนัดหมายมาแล้วหลายครั้ง ตามที่มีการนำเสนอไปแล้วนั้น

วานนี้ (18 พ.ย. 2567) ทีมข่าวได้คุยนายนริศ วิทยาวรากรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยยินตัน จำกัด (ผู้เสียหาย) คู่กรณีของนายเชน ธนา ที่เป็นคนแจ้งความให้สัมภาษณ์ถึงคดีฉ้อโกงเงิน 79 ล้านบาท ว่า ส่วนตัวตนรู้จักกับ “นายเชน ธนา” (คู่กรณี) เมื่อช่วงประมาณปี 65 ผ่านทางคอสเรียนบริหารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ถูก “นายเชน ธนา” ชักชวนให้ร่วมทำธุรกิจ เนื่องจากบริษัทของตนเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ ซึ่ง “นายเชน ธนา”ได้มาติดต่อขอเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นสินค้าเสริมอาหารประเภทโพรไบโอติก และขอ

ต่อมาตนก็ตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกับ “นายเชน ธนา” โดยมีสัญญาซื้อขาย 3 ปี พร้อมกับมีการระบุว่า ทางบริษัทต้องมีการส่งสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ตามใบสั่งซื้อของทางบริษัทฝ่ายคู่กรณี  ซึ่งทางบริษัทคู่กรณีจะมีการจัดจำหน่าย และทำการตลาดเองในประเทศไทย ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์

โดยทางบริษัทคู่กรณีได้มีการสั่งซื้อสินค้ากับตนในครั้งแรกเป็นจำนวนเงิน 3 ล้านซอง เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 57 ล้านบาท หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 2-3 อาทิตย์ทางบริษัทคู่กว่านี้ก็ได้มีการสั่งสินค้าเพิ่มประมาณ 4 ล้าน 5 แสน แสนซอง เป็นจำนวนเงิน มูลค่าประมาณ 84 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า สินค้าขายดี และต้องการให้ตนรีบจัดส่งให้ทันที

หลังจากที่ทางคู่กรณีได้มีการสั่งซื้อในรอบที่ 2 เขาก็ได้มีการเลื่อนชำระเงินจาก 60 วัน เป็น 90 วัน เป็น 120 วัน แต่พอถึงกำหนดที่ต้องชำระเงินก็ไม่ได้มีการชำระให้กับตนแต่อย่างใด  จากนั้นทางบริษัทคู่กรณีก็ได้มาบอกกับตนภายหลังว่า สินค้ามีปัญหาซึ่งมูลค่าความเสียหายในครั้งแรกทั้งหมดประมาณ 85 ล้านบาท แต่ทางคู่กรณีก็ได้มีการ การชำระไปบางส่วน จนปัจจุบันนี้ต้นถูกค้างค่าชำระประมาณ 79 ล้านบาท

นายนริศ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ตนจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ได้ประมาณ 2-3 ปี แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรจนกระทั่งมารับงานของบริษัทคู่กรณี และในทุกๆครั้งที่คู่กรณีเลยกำหนดชำระเงินมาให้ตน ตนก็ได้พยายามสอบถามคนรอบข้างไปยังคู่กรณีทั้ง CEO , CFO หรือพนักงานหลายหลายฝ่ายให้เข้ามาเจรจา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

โดยก่อนหน้านี้ ทางคู่กรณีได้มีการมาสอบถามให้ตนหาแหล่งเงินกู้เพื่อที่จะนำเงินในส่วนนั้นมาชำระให้กับตน จึงทำให้ตัวรู้สึกเอะใจ เพราะผิดวิสัยของคนทำธุรกิจจึงได้เดินทางตัดสินใจไปแจ้งความที่กองปราบทันที

ในส่วนกรณีที่คู่กรณีอ้างว่าสินค้ามีปัญหาในเรื่องของฉลากนั้น ส่วนตัวตนก็อยากจะชี้แจงว่า สินค้าดังกล่าวนั้นเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นซองที่ใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ส่วนบริษัทที่ ผลิตนั้นเป็นบริษัทของบริษัทอมาโด้ ซึ่งมีคำข้อความประมาณว่า “ แคปซูล 3 ชั้น หรือแคปซูลดับเบิ้ลเลเยอร์” ซึ่งมันเป็นข้อความที่เป็นปัญหากัน

ส่วนตัวตนมองว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าเลย และข้อความในฉลากนั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบจากทาง อย. ทั้งนี้ ตนทำผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้มาประมาณ 27 ปี และเป็นสินค้าอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นในเรื่องของสินค้านั้น ตนยืนยันว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ

ส่วนที่ประเด็นที่คู่กรณียืนยันว่า คดีดังกล่าวนั้นเป็นคดีแพ่ง  นายนริศมองว่า ตนทำธุรกิจสุจริตมาโดยตลอด ซึ่งตรวจส่วนตัวตนเป็นนักธุรกิจจึงไม่ทราบเรื่องกฎหมาย แต่พอตนเองได้ส่งเรื่องไปแล้วทางอัยการด้วยข้อมูลหลักฐานต่างๆที่ตนแชร์ให้กับอัยการโดยอัยการเห็นของว่ามันเข้าข่ายในกฎหมายฉ้อโกงถึงมีการออกหมายเรียกในครั้งนี้

ส่วนกรณีที่ว่าตนจะมีความคาดหวังในการได้เงินจำนวน 79 ล้านบาทคืนมาหรือไม่นั้น ส่วนตัวตนเชื่อมั่นในความยุติธรรมชั้นศาลคืนกลับมาให้กับผู้เสียหาย ซึ่ง ณ ตอนนี้ตนยังมีความหวัง ว่าทางคู่กรณีจะยอมชำระเงินค่าสินค้าให้กับตน และกับผู้เสียหายทุกๆคน  ส่วนกรณีหลังจากนี้จะมีการเจรจา เพื่อผ่อนปรนในเรื่องของคดีนั้นทางคุณรีบบอกว่า หากเขาคิดจะเจรจากับตนจริงภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ เขาก็น่าจะติดต่อมาไม่น่าจะมีการปล่อยเวลาระยะเวลาจนถึงสองปี ซึ่งยืนยันว่าตนเองติดต่อเขาไป

ส่วนประเด็นที่ทางคู่กรณีได้มีการยืนเอกสารให้ตนนำสินค้ามาคืนนั้น หลังจากที่เลยครบกำหนดชำระแล้ว ทางตนได้มีการท้วงติงกับทางคู่กรณี ว่า สินค้ายังมีการจัดจำหน่ายอยู่ทั้งที่ ทางคู่กรณี บอกว่า สินค้ามีปัญหา ไม่ตรงปก หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 สองเดือน ทางคู่กรณี ได้ให้ตนติดต่อมาขอรับสินค้าคืนไป แต่ตนก็ยืนยันว่า ไม่สามารถคืนสินค้าราคาให้ได้ เพราะสินค้าหมดอายุแล้ว ซึ่งในวันนั้นหากตนตัดสินใจไปรับสินค้ากลับคืนมานั้น ทางคู่กรณีก็ต้องจ่ายเงินชำระคืนให้กับตน

นอกจากนี้ ตนได้รับข้อมูลมาว่า ทางคู่กรณีมีการติดต่อไปยังผู้เสียหายรายหนึ่ง และ ยืนยันจะชดใช้ค่าเสียหายให้ โดยไม่ให้ผู้เสียหายมาออกสื่อ ซึ่งส่วนตัวตนยังเชื่อว่า มีผู้เสียหายอีกหลายคนที่ทางคู่กรณีพยายามจะติดต่อขอไกล่เกลี่ย เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย

ขณะที่นางสาวลิลลี่ หนึ่งในผู้เสียหาย CEO บริษัทแห่งหนึ่ง ที่รับทำสูตรผลิตเม็ดฟู่ให้คุณเชน ธนา เมื่อปี 2566 โดยได้ส่งรับออเดอร์ 100,000 ชิ้น มูลค่ารวม 6 ล้านบาทแต่มีการจ่ายค่ามัดจำแล้ว 2,000,000 คงเหลือ 4,000,000 บาท

นางสาวลิลลี่ เล่าว่า เมื่อปี 2566 คุณเชน ธนาได้มาจ้างบริษัทตนทำสูตรผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเราเป็นบริษัทเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักทำสูตร โดยบริษัทของตนอยู่ที่เยอรมัน แต่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของคุณภาพสินค้าเหมือนกับคนอื่น เพราะอายุสินค้าของตนมีอายุ 3 ปี แต่สิ่งที่ตนสงสัยคือ ทำไมต้องเอาสินค้าเรามาลดราคาเกินกว่าราคาต้นทุน และเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าทนไม่ได้

นางสาวลิลลี่ บอกว่า ตอนนี้คดีของตนเป็นคดีแพ่ง นัดไกล่เกลี่ยวันที่ 16 ธันวาคม โดยได้ส่งสินค้าไป 100,000 ชิ้น มูลค่ารวม 6 ล้านบาทแต่มีการจ่ายค่ามัดจำแล้ว 2,000,000 คงเหลือ 4,000,000 บาท ที่ยังไม่จ่าย ซึ่งก็หวังว่าจะไม่โดนเหมือนบริษัทของคุณนริศ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทคุณเชน จะส่งคนมาเจรจา

นางสาวลิลลี่ ยังบอกว่า แม้ว่าฝั่งบริษัทของคุณธนาจะมีการทำสัญญาแบ่งจ่ายยอดเงิน 4 ล้านบาทแล้วนั้น แต่เป็นการแบ่งจ่าย 2 เกือบ 3 ปี

ทั้งนี้ หากเป็นการทำสัญญา มันต้องยินยอมทั้งคู่ และต้องเข้าใจด้วยว่าเราไม่ใช่สถาบันทางการเงินเราไม่สามารถให้แบ่งจ่ายได้ถึงขนาดนั้น และที่ผ่านมาปัญหาคือเขาไม่ยอมเจรจาเลย อีกทั้งมีการส่งจดหมายกลับเหมือนมาข่มขู่เรา หาว่าเราทำให้เขาเสียโอกาสทางการขาย แล้วมาเรียกเงินเรา 10 กว่าล้านบาท และจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เราไม่ไหว แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน เขากลับมาขอผ่อนชำระ 20 กว่างวด และความจริงแล้วก่อนหน้านั้นเราขอให้เขาผ่อนก็ได้ แต่เขากลับเบี้ยวหลายครััง เราจึงไม่รู้ว่าส่วนที่เขาจะผ่อนจ่าย จะจ่ายจริงหรือไม่ และหากเรายอมรับเงินก้อนแรก แต่สุดท้ายหายไป มันอาจมีโอกาสที่เรื่องอาจไม่จบ จึงเลือกทำตามกระบวนการทางกฎหมาย

พร้อมกันนี้ สินค้าเราเป็นสินค้านำเข้า ต้องผ่านด่าน อย. และด่านศุลกากรเลยทันที ต้องได้รับการตรวจสอบเกี่ยวกับฉลากสินค้า หากมีอะไรไม่ผ่านคงไม่ได้เข้ามาในประเทศ ส่วนคนที่ขอ ฆอ. หรือ โฆษณาสินค้า รวมทั้งผลิตกล่องสินค้าก็เป็นทางบริษัทของคุณเชน ธนา เอง เลยต้องถามกลับไปว่ามีจุดประสงค์ใดกันแน่ต่อผู้ประกอบการอย่างเราที่จงใจไม่ชำระเงินแต่ยังนำสินค้าออกไปขายและขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาทุน

นางสาวลิลลี่ ยังกล่าวว่า การที่เราทำธุรกิจแล้วเงินมันหายไป ไม่ว่าจะกี่บาทเราในฐานะผู้บริหารต้องรับผิดชอบต่อเงินนั้น ซึ่งยอมรับว่าได้รับผลกระทบและเสียหายมาก และขอบอกเลยว่ายังมีอีกหลายคนที่โดนลักษณะเดียวกัน แพตเทินเดียวกัน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นดาราและศิลปิน หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง  นางสาวลิลลี่ บอกว่า ถ้าคุณเป็นแฟนคลับ ต้องเข้าใจว่าคนของคุณทำถูกต้องหรือไม่ ถ้าคนของคุณทำถูกต้องและมีหลักฐาน และคุณจะประณามเราที่ไปกล่าวหาเขาเราเชิญให้ประณาม  แต่วันนี้ที่เราออกมาไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวใดใดกับคุณเชนธนา ไม่ได้รู้สึกเป็นศัตรูกัน ปัญหาอย่างเดียวของเขาคือเอาสินค้าของเราไป และไม่จ่ายเงิน ซึ่งเรามีหลักฐานทุกอย่างแต่วันแรกจนถึงวันนี้

ส่วนนายนริศ กล่าวเสริมว่า คำว่ากลัวเรื่องเป็นศิลปินหรือไม่นั้น ถ้าเรายืนอยู่บนความถูกต้องแล้วตนเชื่อว่าหากเราทำธุรกิจโดยสุจริตมาตลอด หากเราทำอะไรผิดคงไม่กล้ามายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำไป เรา 2 คน ออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจและเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่เจอแบบเดียวกัน ช่วงท้ายทั้ง 2 คน ฝากถึงคุณเชน ธนา ว่า “ช่วยชำระเงินคืนให้เราสองคนด้วยนะ“

--------------------------------------

‘เชน ธนา-ภรรยา‘ นำหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวน กองปราบฯ ตามหมายเรียกรอบ 2  ปมถูกร้องโกงเงิน 79 ล้าน พร้อมรับทราบข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกง” ลั่น! ไม่ได้ฉ้อโกง ร่ำไห้ธุรกิจยังไม่เจ๊ง รับมีหนี้ตั้งแต่ปี 64 ขอโอกาสทำงานขายของหาเงินมาใช้หนี้

วานนี้ (18 พ.ย.) เวลา 13.30 น. นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา พร้อมภรรยา และทนายความส่วนตัวนำหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ตามหมายเรียกรอบ 2 เพื่อชี้แจงความจริงทวงคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง หลังบริษัทรับผลิตอาหารเสริมแจ้งความในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” เงิน 79 ล้านบาท แต่ไม่เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่ง เชน ธนา และภรรยา ได้ทำหนังสือขอเลื่อนถึง 3 ครั้ง


โดย ‘เชน ธนา’ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังรับทราบข้อกล่าวหากับทางพนักงานสอบสวนกองปราบปราม นานประมาณ 1 ชั่วโมง ว่าวันนี้มารับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันฉ้อโกง และตัวเองก็ปฏิเสธข้อกล่าวหา ก่อนจะกล่าวว่า ตนเองยืนยันว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งมาตั้งแต่แรก หลังจากนี้ยังมีโอกาสให้สืบ รวมถึงให้ตนเองจะเรียกพยานมาให้ข้อมูล เพื่อชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง


สำหรับหนี้ยอด 79 ล้านบาท ที่เป็นประเด็น เชน ธนา ชี้แจงพร้อมนำภาพถ่ายในโกดังสินค้ามาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยันว่าตอนนี้สินค้าทั้งหมดยังอยู่ในโกดังสินค้าเหมือนเดิม เพื่อตอกย้ำว่าตัวเองคือผู้เสียหาย /โดยสินค้ามีทั้งหมด 2 ล็อต และยังอยู่ครบทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว และได้ชี้แจง หรือ declare แล้วว่าไม่ได้นำสินค้าไปจำหน่าย เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในบริษัทแต่อย่างใด


ยืนยันว่าตัวเองมีเอกสาร ให้ทางคู่กรณีมารับสินค้าคืน ก่อนจะนำรูปภาพตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มาแสดงต่อสื่อมวลชน ซึ่งระบุว่าผลิตภัณฑ์เม็ดสีเหลือง ภาพที่อยู่ทางด้านซ้าย เป็นตัวอย่างสินค้าที่ทางคู่กรณีนำมาแสดงให้กับตนเอง จึงมีการตกลงซื้อขายเกิดขึ้น แต่หลังจากรับสินค้ามา และเปิดกล่องแรกปรากฏว่าสินค้าภายในเป็นเม็ดสีส้ม ซึ่งเป็นภาพทางด้านขวา ทำให้ตนเองรู้สึกตกใจ เพราะสินค้าไม่ตรงกับสิ่งที่พรรณาไว้ตอนเสนอขาย แต่ก็มีคนตั้งคำถามว่า “หากขายสินค้าไม่ได้แล้วจะขายทำไม” ซึ่งตนเองได้รับข้อมูลว่าทางบริษัทจะแก้ไขให้


เชน ธนา ยอมรับว่า สินค้าล็อตดังกล่าว เป็นสินค้าที่ขายยากที่สุดในชีวิตเลย มีถึงขั้นว่าวางจำหน่ายในทีวีไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองซื้อโฆษณาสื่อไปแล้ว จึงจำเป็นต้องโยนเทปนั้นทิ้ง ยังไม่รวมกับค่าที่ตัวเองซื้อป้ายโฆษณาบิลบอร์ดไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคดีที่อยู่ในแพ่งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเรียกคืนกล่องทั้งประเทศ ซึ่งในคดีแพ่งตัวเองเรียกไปทั้งหมดกว่า 60 ล้านบาท สาเหตุที่ตัวเองขาดทุนเยอะในปี 2564 ส่วนหนึ่งก็มาจากสินค้าล็อตนี้

ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้ธุรกิจเป็นอย่างไร โดย ‘เชน ธนา’ ได้ร้องไห้แล้วบอกขอพักแป๊บนึง ก่อนที่จะยกมือและกล่าวว่า “อย่าแซวว่าผมแกล้งร้องไห้นะ ผมขอเหอะนะ” ตนเองสู้มาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาใช้หนี้มาตลอด เชื่อว่าเจ้าหนี้เข้าใจ ในเรื่องขายของถ้ามีโอกาสได้สู้ตนเองก็จะสู้ เรื่องคดีตนมองว่าเป็นแพ่งจริงๆ หากเป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย ถ้าเป็นหนี้ศาลบอกให้จ่ายตนก็จะทำงานหาเงินใช้หนี้


นอกจากนี้ ‘เชน ธนา‘ ยังระบุอีกว่า ตนเตรียมใจตั้งแต่มีข่าวว่าต้องโดนทัวร์ลงแน่ แต่วันนี้พบว่าจะมีคอมเม้นต์ที่ให้กำลังใจและบอกว่าใช้สินค้าของตนแล้วดี ทำให้รู้สึกชื่นใจขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่าคุณภาพของสินค้ามันสำคัญ และตนเองเอาทั้งชีวิตใส่ลงไปในแบรนด์นี้แล้ว พร้อมระบุว่าตอนนี้อายตัวเองมาก


ตอนนี้คดีแพ่งได้มีการตัดสินให้ตนเองจ่ายเงินตามสัญญาซื้อขาย แต่ตนได้ยื่นอุทธรณ์ไปตามขั้นตอน ซึ่งถ้าจนถึงที่สุดแล้วศาลยังเห็นควรว่าต้องจ่ายตนเองก็พร้อมจ่าย ยอมรับว่าตอนนี้ตนเองเครียด เพราะตอนนี้ตนเองมีลูก 5 คน การทำธุรกิจร่วมกันจริง ๆ เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และมีสัญญาซื้อขายเมื่อเกิดอะไรขึ้นมองว่าควรเป็นเรื่องของแพ่ง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดัน


ยืนยันตนเองมีพยานหลักฐานแน่นพอว่าเป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย วันนี้ตนเองก็เสียหายเหมือนกันเพราะที่ผ่านมาธุรกิจ ก็มีการซื้อขายมาอย่างต่อเนื่อง สร้างงานสร้างอาชีพให้หลายคนก็อยากให้ความยุติธรรมกับตนเองด้วย ส่วนที่ตนเองเลื่อนนัดเข้าพบตำรวจก่อนหน้านี้มีเอกสารการขอเลื่อนทุกอย่างแต่ไม่ขอลงรายละเอียด ซึ่งตนพึ่งมาเห็นจดหมายในตู้ไปรษณีย์คืนก่อนวันนัด และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทไม่ใช่เฉพาะตนเองคนเดียว จึงต้องขอเวลาในการเตรียมเอกสารก่อน


นอกจากนี้ ‘เชน ธนา’ ยอมรับว่าต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ ตนกับภรรยาก็เหนื่อยมาหลายปีแล้ว ตนถึงขั้นบอกกับตัวเองว่าไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ที่มีคนบอกว่าตนอวดบ้านอวดรถมันเกิดก่อนที่จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจตอนโควิด /สำหรับคดีอาญาที่มารับรับทราบข้อกล่าวหาวันนี้ ตนเองก็ยังมีโอกาสนำพยานหลักฐานมาต่อสู้ และบอกได้ว่าสิ่งที่ออกอากาศในรายการโหนกระแส คลาดเคลื่อนหลายอย่างแต่ตนขอไม่พูด จะนำไปต่อสู้ในชั้นศาล หากท้ายที่สุดโชคร้ายจริง ๆ ก็คงขอยื่นประกันตัวตามกระบวนการ ขอบคุณสื่อที่ให้โอกาสได้ชี้แจง


ประเด็นที่ว่าตนเองโดนคดีฉ้อโกง และ พ.ร.บ.เช็ค ในคดีอื่นนั้น โดยศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง และยืนยันว่าตนเองไม่ได้ฉ้อโกง ส่วนเรื่องเช็คเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ยอมรับว่าเคยถูกตัดสินลงโทษจำคุกเรื่องนี้จริงและขอประกันตัวออกมา แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ


เมื่อถามว่าอยากพูดอะไรถึงคู่กรณีหรือไม่ ‘เชน ธนา’ตอบว่าก่อนจะถึงคู่กรณี ตอนนี้ตนอยากขอความเห็นใจ ธุรกิจของตนหากไม่ได้ไลฟ์ขายของ 4 วัน บริษัทก็น่าจะเจ๊งแล้ว ขอบอกเจ้าหนี้ทุกคนว่าตั้งแต่ ปี 64 ก็ใช้หนี้ไปหลายล้านแล้ว ธุรกิจของตนมีปัญหาจริง ๆ แต่ต้องคงดำเนินต่อไป เพราะยังมีพนักงานอีกกว่า 100 ชีวิตและครอบครัวที่ต้องดูแลมันคือลมหายใจของผม อีก 10 ปีผมก็จะขายสินค้า ถ้ามีคนซื้อแต่มันทำไม่ได้ “ผมเป็นหนี้มาตั้งแต่ปี 64 ทำงานหาเงินใช้หนี้มาตลอด ซึ่งอมาโด้ผมเอาทั้งชีวิตใส่ไปแล้ว หากอมาโด้ตาย ผมก็ตายด้วย ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดันกัน ผมเป็นลูกหนี้ที่ดีควรได้รับความยุติธรรม”


เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับภรรยาเรื่องนี้หรือไม่ เชน ธนา ตอบว่าตอนนี้ไม่กล้าแม้จะแตะต้องตัวกันเพราะจะร้องไห้ทันที ช่วงท้ายยืนยันว่าหากเป็นหนี้ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อถามว่าตอนนี้ธุรกิจเจ๊ง หรือยัง เชน ธนา ระบุว่า มันยังมีความสามารถในการขายของอยู่ แต่ถ้ามาดูมูลหนี้อาจจะเยอะกว่าทุน จากนี้จะมารับข้อมูลฟ้องในวันที่ 26 พ.ย. เวลา 10.00 น.

สำหรับ ‘เชน ธนา’ ได้เปิดบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด เจ้าตัวนั่งแท่นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยบริษัทฯ ประกอบธุรกิจขายอาหารเสริม สกินแคร์ ขายปลีกทางอินเตอร์เน็ต ในแบรนด์ อมาโด้ มีทุนจดทะเบียนบริษัท 43 ล้านบาท จดทะเบียนวันที่ 24 มี.ค. 2557  


ซึ่งคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2565 โดยบริษัทรับผลิตอาหารเสริมรายหนึ่ง ส่งตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีอาญากับ เชน ธนา หรือ นาย ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ กับภรรยา ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารเสริมชื่อดังในข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกง"



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/dTdMn3WK5Hc


คุณอาจสนใจ

Related News