สังคม
'บิ๊กก้อง' เปิดยอดยึดทรัพย์ 'ทนายตั้ม' เงินในบัญชี-บ้านหรู 71 ล้าน 'ทนายสายหยุด' ลั่นถ้าผิดจริง ไม่รับทำคดีแน่
โดย nattachat_c
12 พ.ย. 2567
36 views
วานนี้ (11 พ.ย. 67) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่าขณะนี้ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 4 ข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันฟอกเงิน, ฟอกเงิน, ฉ้อโกง และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงิน
ซึ่งใน 4 ข้อหานี้เป็นการกระทำความผิดในประเด็นเงิน 71 ล้านบาท ค่าออกแบบ 9 ล้านบาท และเงินค่าส่วนต่างรถเบนซ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานจึงได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา
โดยที่ประเด็นเงิน 39 ล้านบาท นั้นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ตอนนี้ สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้ถึง 80% โดยที่ก่อนหน้านี้ ได้มีการสอบปากคำทั้ง นายนุ และ นางสารินี เป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องมาดูว่าทำให้ปากคำนั้น มีอะไรที่สอดคล้อง หรือไม่ตรงประเด็นกับการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานหรือไม่ หากพบว่ามีส่วนไหนที่ไม่ตรงกัน ก็จะเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติม
ด้าน พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีทนายตั้มว่าอายัดทรัพย์สินของทนายตั้มแล้ว 71 ล้านบาท เป็นเงินในบัญชี 28 ล้านบาท และที่ดินพร้อมบ้านย่านตลิ่งชัน ราคา 43 ล้านบาท ซึ่งมีข้อมูลว่ามาจากการฟอกเงินที่อยู่ในก้อน 71 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ก็จะมีประเภทรถยนต์ นาฬิกา และทรัพย์สินประเภทสิ่งของต่าง ๆ ยังไม่พบ
ส่วนที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า จะมีบุคคลถูกดำเนินคดีเพิ่มมาอีก 1 คน พลตำรวจโท จิรภพ เผยว่า อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน หากมีพยานหลักฐานไปถึงใครก็จะออกหมายจับเพิ่มเติม สำหรับนาย นุ และนางสาว สาริณี มีข้อมูลทางการสืบสวนพบว่าทั้งคู่ ยังอยู่ในประเทศ
ทนายสายหยุด ยอมรับ เมียทนายตั้มเครียด ฝากข้อความถึงลูก ลั่นถ้าผิดจริงไม่รับทำคดีแน่นอน
วานนี้ (11 พ.ย. 2567) นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางมาให้สัมภาษณ์หลังเข้าเยี่ยม นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้ม โดยบอกว่า วันนี้ตนเองติดงานในช่วงเช้า ทำให้กว่าที่จะเข้ามาเยี่ยมลูกความในเรือนจำก็เป็นเวลาเกือบ 14.00 น. จึงตัดสินใจไปเยี่ยม ภรรยาของทนายตั้ม ที่ทัณฑสถานหญิงกลางก่อน เนื่องจากทนายตั้มฝากเอาไว้ว่า หากจะประกันตัว หรือจะทำอะไร ให้ไปหาภรรยาก่อน ซึ่งการเข้าเยี่ยมได้พูดคุยประมาณ 15 นาที ภรรยาทนายตั้มมีอาการเครียด และวิตกกังวล เป็นห่วงคนข้างนอก และคิดถึงลูก
โดยภรรยาทนายตั้มได้ฝากข้อความไปบอกลูก และฝากตนเองว่าจะให้ใครเข้ามาเยี่ยมบ้าง รวมถึงมีการสอบถามเรื่องการประกันตัว แต่ตัวเองก็ตอบกลับไปว่า ขณะนี้ยังตอบไม่ได้เนื่องจากต้องรอให้พ้นฝากแรก 12 วันไปก่อน
โดยตนเองก็ได้บอกกับภรรยาของทนายตั้มไปว่า “ไม่ต้องกังวล ทำใจให้สบาย อย่าเจ็บป่วย และต้องอยู่ให้ได้” ซึ่งตนเองมาเยี่ยมคนบ่อย มีประสบการณ์ว่าข่าวคราวเรื่องอะไรที่ไม่ดีจากข้างนอกก็จะไม่แจ้งกับลูกความ เพราะลูกความจะมีความกังวลอยู่เป็นทุนเดิม
โดยเรื่องคดี ภรรยาทนายตั้ม ให้ข้อมูลกับตนเองเพียงอย่างเดียวว่า มีการตกลงกับทนายตั้มเอาไว้ในการแต่งงานว่าหากมีอะไรต้องโอนเป็นชื่อของตนเอง ซึ่งกรณีกรณีที่ทนายตั้มถูกแจ้งข้อกล่าวหา ภรรยาก็ไม่ทราบเลยว่า ทนายตั้มไปทำอะไร รู้เพียงว่าตัวเองไปรับโอนที่ดินโดยทนายตั้มเป็นคนซื้อแคชเชียร์เช็คไปในวันรับโอน
เมื่อถามว่าสามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะไม่รู้ได้อย่างไร ทนายสายหยุด มองว่า บางคนก็ปกปิด ไม่จำเป็นจะต้องบอกทุกอย่างว่าไปทำอะไรมา ทนายตั้มก็เป็นทนายดัง การซื้อบ้านในราคา 30 ล้านปลาย ๆ ส่วนตัวมองว่าก็พอเป็นไปได้
โดยนายสายหยุด ยืนยันว่า ขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การประกันตัวภรรยาทนายตั้ม ส่วนตัวของทนายตั้มได้สั่งการไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะขออยู่ในเรือนจำจนกระทั่งพิจารณาคดี เนื่องจากทนายตั้มเป็นทนายความมา 20 ปี น่าจะพอทราบดีว่า ส่วนของตัวเองนั้นขอประกันตัวได้ยาก
ส่วนก่อนหน้านี้ ที่ตนเองเคยยื่นขอประกันตัวภรรยาทนายตั้มไปแล้วนั้น ศาลรับคำร้อง แต่ไม่อนุญาตให้ประกัน ส่วนการยื่นขอประกันตัวในครั้งหน้า ศาลจะอนุญาตหรือไม่ มองว่า ต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ทั้งการสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน และพยานหลักฐาน ที่ฝ่ายตนเองจะนำมาประกอบคำร้องว่าภรรยาของทนายตั้ม ไม่น่าจะทราบว่าเงินที่ได้นั้น ได้มาจากการกระทำความผิด
ซึ่งฝ่ายผู้กล่าวหาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ภรรยาของนายตั้มรู้ หรือควรรู้ว่าเงินที่ได้รับมาจากการกระทำผิด โดยนายสายหยุด ระบุว่า ตอนนี้ ตนเองยังมีหลักฐานเท่าเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื่องจากทำงานอื่นอยู่ด้วย ก็เลยยังไม่ได้รวบรวมเพิ่มเติม
ถ้าผมดูพยานหลักฐานของตำรวจ แล้วชัดเจนว่าลูกความผมกระทำความผิดจริง ผมไม่รับทำแน่นอน ถ้าผมดูแล้วอย่างที่เป็นข่าวว่ามีอันนั้นอันนี้มาแตะเชื่อมโยง ฟังดูว่าเขาผิดแล้วให้ผมไปสู้คดีผมคงไม่รับ เพราะทำคดีแพ้ผมไม่อยากทำ
ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 71 ล้าน หรือ 2 ล้านยูโร ที่ก่อนหน้านี้ธงการต่อสู้คดีว่าจากให้โดย เสน่หามาเป็นให้วนการลงทุนนั้น ทนายสายหยุด บอกว่า เงิน 71 ล้าน ในคดีแพ่ง บอกไว้ว่า “ผู้ให้ให้ทรัพย์ ผู้รับรับทรัพย์” บอกไว้เพียงแค่นี้ แต่ต้องมาตีความว่า ที่ทนายตั้มบอกว่า ให้โดยเสน่หา นั้นมันเหมือนกับการไปขอเงินที่อ้อยมาทำธุรกิจเลี้ยงครอบครัว ไปขอเขา 2 ล้านยูโร พี่อ้อยบอกว่า “ไม่มากนิ เดี๋ยวพี่ช่วย“ ทนายตั้มก็รับมา
ซึ่งข้อเท็จจริง ตรงที่ว่า จะคืนเมื่อไหร่ คืนอย่างไร ตรงนั้นหายไป ทำให้ทนายตั้มเข้าใจว่าให้โดยเสน่หา แต่ถ้าไม่ให้โดยเสน่หา ก็เทียบเคียงเป็นยืมหรือเปล่า นี่เป็นความคิดผม ส่วนที่ทนายตั้มไปพูดในรายการพี่หนุ่ม พี่หนุ่มไม่ใช่พนักงานสอบสวน นั่นไม่ใช่คำให้การ เขาพูดออกไปแบบนั้น ผมก็ไม่รู้เขาคิดยังไง
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/W-0O8PJFz4w