สังคม
'ทนายตั้ม' ชิงพบตำรวจ ให้ปากคำฉ้อโกง 71 ล้าน แจงปม 39 ล้าน 'เจ๊อ้อย' เสียรู้สแกมเมอร์เอง
โดย nattachat_c
6 พ.ย. 2567
37 views
'ทนายตั้ม' โผล่กองปราบ ลงบันทึกประจำวันแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังมีตำรวจไปเฝ้าที่บ้าน ก่อนแจงปมเงิน 39 เผย 'เจ๊อ้อย' เสียรู้สแกมเมอร์เอง - ยืนยัน 71 ล้าน ได้มาโดยเสน่หา ลั่น "ถ้าผมไปฉ้อโกง ผมไปหลอกลวงเขา ก็พร้อมที่จะคืน" พร้อมถามกลับ "แล้วหากมันไม่ใช่ล่ะ?"
ด้าน 'เจ๊อ้อย' ยิ้มแย้มทักทายสื่อ หลังให้ปากคำวันที่ 4 กว่า 11 ชั่วโมง พยักหน้ายอมรับ 'เสียใจ” หลัง 'ทนายตั้ม“ เปิดใจล่าสุด ย้ำดำเนินคดีถึงที่สุด - ขณะที่ทนายความ ยอมรับ สแกมเมอร์ที่เกี่ยวกับเงิน 39 ล้าน มีอยู่จริง แต่ไม่ขอลงรายละเอียด ย้ำเงินก้อนนี้ โอนให้ ผู้หญิง ส.
วานนี้ (5 พ.ย. 67) เวลา 09.49 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ 'ทนายตั้ม' เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางเข้ามาที่กองบังคับการปราบปราม
โดยบอกว่า สาเหตุที่ต้องมาครั้งนี้ เพราะเมื่อเช้า วานนี้ (5 พ.ย. 67) มีตำรวจ 6 นาย ใช้รถ 3 คัน ตามไปเฝ้าถึงหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อช่วงกลางคืนดี พอเดินเข้าไปถามว่ามาทำอะไร ตำรวจก็บอกว่าไม่ได้มาเฝ้า แต่ปรากฏว่าตอนเช้า 7 โมงเช้า ตำรวจก็มาเฝ้าอีก ตนจึงเดินเข้าไปคุยอีกว่ าจะเข้ากี่โมงครับ เพราะต้องไปส่งลูกที่โรงเรียน เลยบอกไปว่า ถ้าจะมาค้นก็เข้าเลย ไม่ต้องรอ ก่อนบอกว่า ตำรวจไม่ต้องมาเฝ้า ไม่ได้ไปไหน ตนอยู่ที่บ้านตลอด ก่อนที่จะเดินกลับเข้าบ้าน พอกลับออกมาก็พบว่าตำรวจที่มาเฝ้าหายไปหมดแล้ว จากนั้น เลยตัดสินใจเข้าพบตำรวจ เพราะตามไปเฝ้าถึงหน้าบ้านขนาดนี้ และหากมีหมายถูกต้อง ไม่ต้องตามไปเฝ้าหรอก แค่บอกดี ๆ มีหมายมาก็ยินดีจะไป
เรื่องรถหรู ยืนยันว่า สามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น อย่างเรื่องรถเบนซ์ จี 400 AMG พรีเมี่ยม ตนอยากให้ทุกคนไปตรวจสอบว่า รถรุ่น G-class G400 ตามที่ปรากฏในข่าว ราคาเพียงแค่ 8-9 ล้านบาทจริงหรือไม่ พร้อมทั้งย้ำว่า รถคันดังกล่าว ชื่อจดทะเบียนรถคือชื่อของมาดามอ้อย ไม่ใช่ชื่อไฟแนนซ์ตามที่ปรากฏในข่าว และตนก็ครอบครองเพียงไม่กี่เดือนก่อนจะส่งมอบ ไม่เคยนำรถคันดังกล่าวไปให้จีนเทายืมตามที่มีข่าวลือ รวมทั้งกรณีที่พัทยานั้น ตนเองได้เดินทางไป-กลับ มาดามอ้อยและเลขาของมาดามอ้อยพร้อมด้วยภรรยาตนเอง ซึ่งตนเองเป็นคนขับรถให้ ไม่ได้ขับรถไปรับจีนเทาตามที่มีกระแสข่าวลือ
นอกจากนี้ ทนายตั้ม ยังชี้แจงถึงปม 'เงิน 39 ล้านบาท' ซึ่งเป็นค่าว่าจ้างศิลปินจีนมาเมืองไทยนั้นว่า ความจริงแล้วตรงกันข้ามกับข้อมูลที่ถูกนำเสนอมาทุกอย่าง เพราะเรื่องจริงคือ เจ๊อ้อยไปกดไลก์ในไอจี 'เฉินคุน' ดาราชาวจีนคนหนึ่ง
จากนั้น ก็มีบุคคลอ้างเป็น 'เฉินคุน' ทักข้อความมาตีสนิทกับเจ๊อ้อยนานนับปี ภายหลังเจ๊อ้อยก็อยากจะให้ศิลปินดังกล่าวมาหาที่ไทย โดยให้ตนช่วยโอนเงินไปให้อีกฝ่ายที่มีการขอให้โอนมาเป็นสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งตนไม่เชี่ยวชาญ จึงให้น้องอีกคนชื่อ นุ เป็นคนดำเนินการให้
แต่เมื่อโอนเงินให้อีกฝ่ายไปแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ยอมเดินทางมา โดยขอให้โอนเงินมาเพิ่มเป็นค่าบอร์ดี้การ์ด ทำให้ตนเองเริ่มเอะใจว่าอาจเป็นสแกมเมอร์ แต่เจ๊อ้อยยังยืนยันว่าจะให้โอนอีก ทำให้ต้องยอมโอนไปให้ แต่ฝ่ายศิลปินก็ยังไม่มา
ตนเองจึงลองไปสืบค้นข้อมูล โดยขอเบอร์จากผู้จัดการดาราชื่อดังของไทย เพื่อประสานงานกับผู้ประสานงานศิลปินจีน ก็ได้รับข้อมูลว่าไม่น่าจะใช่ 'เฉินคุน' ตัวจริง เพราะปกติ ดาราจีนจะไม่มีการทักข้อความหาแฟนคลับในลักษณะนี้ ซึ่งช่วงเวลาที่พูดคุยกันนั้นทราบว่า ตัวเฉินคุนกำลังฝึกสมาธิอยู่ในป่าด้วย
ขณะเดียวกันยังปรึกษากับเลขาเจ๊อ้อยเลย เคยห้ามเจ๊อ้อยแล้ว แต่เจ๊อ้อยกลับบอกว่า "มันเป็นเงินของพี่ พี่จะโอนให้ใครมันก็คือเงินของพี่" สุดท้ายก็โอนไปรวมแล้ว 39 ล้านบาท
ส่วนเรื่องเงิน 71 ล้าน ทนายตั้ม ยืนยันว่า ตนได้มาโดยเสน่หา โดยคำว่าเสน่หาเป็นศัพท์ทางกฎหมาย ซึ่งได้โดยเสน่หา คือได้รับโดยไม่มีสัญญาผูกมัดผูกพันธ์ ตนยืนยันความบริสุทธิ์หากฉ้อโกงตนพร้อมจะคืน แต่หากไม่ใช่ก็ต้องว่ากันไปตามกฏหมาย ซึ่งตอนนี้ ยังเป็นคดีความอยู่ จึงยังไม่ทราบว่า จะต้องมีการคืนเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากไม่ต้องคืน ก็จะต้องเสียภาษี 5% ตามที่กฎหมายกำหนด
เรื่องเงิน 71 ล้าน ทนายตั้มถามว่า ที่เรียกเจ๊อ้อยมาสอบปากคำตั้งหลายครั้ง เพราะการให้ปากคำไม่ตรงกับพยานหลักฐานที่มีหรือเปล่า วอนตำรวจอย่าให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ เนื่องจากข้อมูลที่เจ๊อ้อยบอกมา ไม่ตรงกับความจริงเลย ตอนนี้ พร้อมที่อยากจะเปิดหลักฐานต่างๆ ทั้งการโอนเงิน แชทไลน์ และพยานบุคคล ให้กับพนักงานสอบสวนพิจารณา
ส่วนเรื่องค่าออกแบบต่างๆนั้น จะเป็นการฉ้อโกงได้อย่างไรในเมื่อตนรับงานมา ก็ทำใบเสนอราคา และส่งมอบงานทุกโครงการตามสัญญาครบถ้วน
“ผมมั่นใจว่าทุกโครงการที่ผมทำ ผมส่งมอบงานหมดแล้วจะมาบอกว่าผมฉ้อโกงได้ยังไง ก็อย่างที่บอกไปว่า ตอนแรกรักให้ผมทำทุกโครงการ แต่พอหมดรักแล้วมันก็เกิดเรื่องแบบนี้”
ทั้งนี้ มองว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการฟ้องเพราะเนื่องจากตนไม่ใช่ลูกรักของมาดามอ้อยอีกแล้ว” ทนายตั้มกล่าว
ทนายตั้ม ยังกล่าวว่า สังคมไม่เชื่อหรอกว่าหรอกว่าตนได้โดยเสน่หา สังคมไม่เชื่อหรอกว่าใครจะโอนเงินให้ 71 ล้าน เข้าไปดูในรายการ “สนธิ Talk” ที่ตัดมาได้เลย ซึ่งก็รู้ว่าพี่สนธิเขาอยากจะเล่นงานผมอยู่แล้ว ดังนั้น เขาคงชอบใจ และหากไปดูที่เขาตัดมาว่า ถ้าทนายตั้มมาขอโทษ จะยกให้ก็ได้ ซึ่งฟังแค่ตรงนี้ เราก็พอที่จะเดากันออกแล้วหรือไม่ อีกอย่างเขาคงไม่เอาอะไรที่เป็นประโยชน์กับตนมาออกมากหรอก
ถ้าผมไปฉ้อโกง ผมไปหลอกลวงเขา ก็พร้อมที่จะคืน” ก่อนจะถามว่า ”แล้วหากมันไม่ใช่ละ? ทนายตั้มกล่าว
ทนายตั้ม ยังกล่าวถึงเรื่องพยานอักษรย่อ บ. ที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวอ้างว่า เป็นคนสนิทของตน และมีการสารภาพทุกอย่างแล้วนั้น ทนายตั้ม กล่าวว่า ความจริงไม่ได้เป็นการสารภาพ แต่ตำรวจไปเชิญตัวมา ซึ่งหากพยานไม่ยินยอม ระวังทางตำรวจอาจจะโดนคดีด้วย
ส่วนกรณีที่ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ออกมาบอกว่า มีเขางอกบนหัว ทนายตั้มบอกว่า คนที่มีพฤติกรรมเขางอกที่หัว เป็นเพราะเมียมีชู้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ทนายคนอื่นฟังด้วย
นอกจากนี้ทนายตั้ม ยังพาดพิงถึงสื่อช่องหนึ่ง (ช่อง8 คุณพุทธ) ที่ไปคุกคามเขาถึงบ้าน ไปคุยกับเพื่อนบ้าน ตามไปถึงหน้าบ้าน สุดท้ายต้องปิดเบอร์มือถือที่เคยใช้ไป เพราะโดนตามคุกคามอย่างหนัก
หลังจากให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ทนายตั้มเข้าพบตำรวจ โดยใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งพบว่า เป็นการลงบันทึกประจำวันเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางออกจากอาคารทันที ผู้สื่อข่าวพยายามจะขอเข้าไปสอบถามประเด็นเพิ่มเติม แต่ทนายตั้มก็บอกเพียงแค่ว่า “จะไม่ให้สัมภาษณ์อะไรแล้ว ขอให้รักษากฎระเบียบด้วย” โดยเบื้องต้นตำรวจได้นัดวันให้ตนมาให้ปากคำเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งตนจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งในภายหลัง
ต่อมา คุณพุทธ ได้จัดหนัก โดยบอกว่า สมัยทนายษิทราเปิดประเด็นมีคู่กรณี คุณก็บอกว่าให้นักข่าวไปทำแบบนี้ แล้วยกปก้วน้ำมีน้ำสีเหลือง แล้วบอกว่าเตรียมไว้เลย 71 แก้ว
วานที่ 5 พ.ย. 2567 นับเป็นวันที่ 4 ที่นางจตุพร อุบลเลิศ หรือมาดามอ้อย หรือเจ๊อ้อย เศรษฐินีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ในคดีพิพาทเรื่องเงิน 71 ล้านบาทที่เธอแจ้งความเอาผิดกับทนายความชื่อดังหลังจากก่อนหน้านี้เธอได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามแล้วจำนวน 3 ครั้ง คือ วันที่ 31 ตุลาคม ใช้เวลา 12 ชั่วโมง / วันที่ 1 พฤศจิกายน ใช้เวลา 11 ชั่วโมง / และวันที่ 3 พฤศจิกายน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง และล่าสุดวันที่ 4 พฤศจิกายน ใช้เวลา 11 ชั่วโมง / รวมสอบปากคำ 4 วัน ใช้เวลารวม 46 ชั่วโมง
ล่าสุด เวลา 20.50 น. ภายหลังสอบปากคำแล้วเสร็จนางจตุพร หรือเจ๊อ้อย เดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเดินมาสวัสดีทักทายสื่อทวลชนที่ยังรอทำข่าว และบอกเพียงสั้ๆ ว่า “งดการให้สัมภาษณ์ เพราะให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว ส่วนที่ทนายตั้มมาที่กองบังคับการปราบปรามเมื่อช่วงเช้านั้น ตนไม่เห็นที่ทนายตั้มมา เพราะตอนนั้นให้การกับตำรวจอยู่ข้างบน
ส่วนประเด็นที่ทนายตั้มอ้างเรื่องเงิน 71 ล้านบาท เป็นการให้โดยเสน่หา และ 39 ล้านบาท ถูกสแกมเมอร์หลอกนั้น เจ๊อ้อย บอกว่า ให้การตำรวจไปหมดแล้ว และยืนยันว่า แม้ทนายตั้มจะปรากฎตัวครั้งนี้ ก็ไม่ได้กังวลต่อรูปคดี
ขณะที่ ทนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความเจ๊อ้อย กล่าวว่า เจ๊อ้อยได้ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเสร็จสิ้นแล้ว และหลังจากนี้ยังไม่มีกำหนดจากพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าการให้การครั้งล่าสุดนี้จะครบถ้วน เพราะดูจากบรรยากาศน่าจะครบแล้ว
ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านที่ทนายตั้มออกมาอ้างว่า เจ๊อ้อยโอนให้สแกมเมอร์นั้น ทนายสมชาติ บอกว่า ในข้อเท็จจริง บอกได้เพียงว่า เจ้อ้อยโอนให้ผู้หญิงชื่อ ส. คงบอกได้เท่านี้ หากลึกไปกว่านี้เกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี
นักข่าวเลยถามว่า แล้วสแกมเมอร์มีจริงหรือไม่ ทนายสมชาติ บอกว่า ‘มีอยู่จริง’ ซึ่งเป็นการประกอบโยงใยกันในทุก ๆ เรื่อง เพราะผู้เสียหายเป็นบุคคลเดียวกัน
ส่วนจะเอาผิดเส้นเงิน 39 ล้านบาทด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวน แต่เจ๊อ้อยได้ให้การในข้อเท็จจริงไปแล้ว และบางอย่างถือเป็นความผิดต่อรัฐ และบางอย่างเป็นความผิดส่วนตัว ซึ่งอันไหนเป็นความผิดต่อรัฐก็เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานแม้ว่าผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง แต่รัฐเอาเรื่อง เช่น เรื่องภาษีที่เป็นความผิดต่อรัฐ
ส่วนกรณีที่ทนายตั้มอ้างว่า มีหลักฐานเงิน 71 ล้านบาท เรื่องของการว่าจ้างในการทำธุรกิจต่าง ๆ นั้น ทนายสมชาติ บอกว่า “มีเอกสารมีสัญญาชัดเจน ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าว่าจ้างจริงแล้วทำจริง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อว่าจ้างจริงแล้วมันไม่มี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/CUkJ5r9A4ZA