สังคม

หนุ่มสุดช้ำ! ให้นักการเมืองท้องถิ่นยืมชื่อซื้อรถ สุดท้ายเบี้ยวค่างวด ถูกศาลสั่งบังคับคดีขายบ้าน

โดย gamonthip_s

25 มิ.ย. 2567

151 views

นายสุธรรม อายุ 46 ปี ชาวอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นำเอกสารร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ระบุเดือดร้อนหนักกำลังจะกลายเป็นคนไร้บ้าน หลังจากถูกนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งยืมชื่อไปเช่าซื้อรถกระบะ สุดท้ายไม่ยอมจ่ายค่างวดจนถูกไฟแนนซ์ฟ้อง ศาลสั่งบังคับคดีขายบ้านพร้อมที่ดิน สมบัติชิ้นสุดท้าย แม่วัย 80 เครียดหนัก นอนไม่หลับมาเป็นเดือน



นายสุธรรม เปิดเผยว่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด รู้จักกับหญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันเป็นสท.ในเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง ที่มักจะจ้างให้ไปทำงานอยู่เป็นประจำ ต่อมาในปี 2561 หญิงคนนี้ได้มาขอยืมชื่อไปเช่าซื้อรถกระบะ ด้วยความไว้ใจ และเชื่อใจ จึงยอมไปทำสัญญาเช่าซื้อกับไฟแนนซ์ให้ ยอดเงินทั้งหมดประมาณ 7 แสนบาท เป็นการเช่าซื้องวดละ 7,939 บาท จำนวน 96 งวด



หลังจากผ่อนไปได้ประมาณ 1 ปี เริ่มผ่อนไม่ไหว สท.คนดังกล่าวได้มาขอให้ไปรีไฟแนนซ์ เพื่อลดจำนวนค่างวด ตนเองก็ยอมไปทำให้ แต่ปรากฏว่ารีไฟแนนซ์ใหม่ ก็จ่ายไปเพียงสามงวด หลังจากนั้นก็ไม่จ่ายอีก จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2565 ถูกไฟแนนซ์ยึดรถฟ้องคดี โดยมีหมายศาลมาถึงที่บ้าน เมื่อนำหมายไปให้ สท.คนดังกล่าวได้บอกว่าไม่ต้องไปศาล เดี๋ยวจะดำเนินการเองทั้งหมด ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องกฎหมาย และไม่เคยโดนฟ้องมาก่อน ตนเองจึงไม่ไปศาลตามที่บอกมา



หลังจากนั้นในเดือน ก.พ. 2567 ได้มีหมายบังคับคดีมาถึงที่บ้าน แจ้งว่าบ้านพร้อมที่ดินเนื้อที่ 90 ตารางวา ถูกศาลสั่งขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ค้างไว้กับไฟแนนซ์เป็นเงิน 679,696 บาท และค่าขาดประโยชน์อีก 99,000 บาท ทำให้ตนเอง และแม่ตกใจแทบเป็นลม เพราะคิดว่าเรื่องนี้ สท.ได้จัดการแก้ปัญหาให้แล้ว เมื่อแจ้งไปยัง สท.คนดังกล่าว ก็บอกว่าจะให้ไปทำสัญญานิติกรรมกู้ยืมเงิน อำพรางว่าให้ตนเองเป็นลูกหนี้ เพื่อจะให้ สท.ได้ฟ้องคดียึดที่ดินมาคืน แต่สุดท้ายตนเองก็ไม่ยอมเพราะกลัวเกิดปัญหา



นายสุธรรม บอกว่า จนถึงวันนี้คู่กรณีก็ยังไม่มารับผิดชอบอะไร อ้างว่าไม่มีเงิน และมีหนี้สินจำนวนมาก ตนเองและแม่ร้อนใจมาก ไม่รู้จะพึ่งใคร โดยในวันที่ 4 ก.ค. 67 และวันที่ 25 ก.ค. 67 ก็จะถึงวันนัดขายทอดตลาดนัดที่ 5 และ 6 หากขายได้ ตนเองก็จะกลายเป็นคนไร้บ้านทันที เรื่องที่เกิดขึ้นอยากเรียกร้องให้คู่กรณีหาทางมารับผิดชอบโดยเร็ว และวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นมือมาช่วยเหลือ โดยเรื่องที่เกิดขึ้นอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ อย่าไปใจอ่อนใช้ชื่อตัวเองไปทำนิติกรรมสัญญาให้กับใครอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจตกที่นั่งลำบากเสียทั้งบ้านทั้งที่ดินเหมือนกันตนเอง

คุณอาจสนใจ

Related News