สังคม

‘บิ๊กเต่า’ ยันไม่มีจัดฉาก-ฮั้วจับเรือน้ำมันเถื่อน สอบ 8 ผู้ต้องหา รับผู้บงการคือ ‘เสี่ยโจ้’

โดย nattachat_c

19 มิ.ย. 2567

92 views

‘บิ๊กเต่า’ เผย ลูกเรือให้การเป็นประโยชน์ รับ ผู้บงการ คือ ‘เสี่ยโจ้’ สั่งเอาเรือของกลางออกไปขายน้ำมันกลางทะเลให้เรือใหญ่ ก่อนเรือทั้ง 3 ลำมุ่งหน้าไปเขมรแล้วเปลี่ยนสภาพเรือ จากนั้นสั่งมุ่งหน้าปัตตานีจนโดนจับ ยันการจับกุมไม่ได้จัดฉาก เตรียมออกหมายผู้บงการในสัปดาห์หน้า


ความคืบหน้า หลังเจ้าหน้าที่ได้นำเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำ เข้ามาเทียบท่าเรือกองกำกับการ 7 ตำรวจน้ำ จังหวัดสงขลา เมื่อช่วงเวลา 19.35 น. วันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา


เรือลำที่ 1 ที่เข้าเทียบท่า คือ 'เรือกำไรเงิน' หรือ 'ซีฮอร์ส'
ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต  ซึ่งเรือลำนี้พบว่ามีความพยายามดัดแปลง ด้วยการทาสีพื้นเรือใหม่ โดยใช้สีเทา ทาปรับสีพื้นเดิมที่เคยเป็นสีแดง จากนั้นใช้สีเขียวทาทับ เช่นเดียวกับเก๋งเรือแต่ยังทาไม่เสร็จ ก็ต้องหยุดก่อน เพราะต้องรีบหนีตำรวจที่มาตามล่าตัว ซึ่งเรือลำน้ำ มีผู้ต้องหาทั้งหมด 3 คน และหมาอีก 2 ตัว


เรือลำที่ 2 ที่เข้าเทียบท่าคือเรือ 'เจ พี' ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต มีผู้ต้องหา 4 คน และมี สุนัข 1 ตัว  


เรือลำที่ 3 เข้าเทียบท่าคือเรือ 'เรือดาวรุ่ง' ขนาดประมาณ 50 ฟุต เข้าจอดเทียบท่า เป็นลำสุดท้าย ซึ่งเรือลำนี้เครื่องยนต์เสีย จึงต้องใช้เรืออีกลำลากเข้าจอดเทียบท่า พบผู้ต้องหาบนเรือ 1 คน  


จากการตรวจสอบบนเรือทั้ง 3 ลำ พบว่า บนเรือแต่ละลำ เหลือน้ำมันเล็กน้อย ซึ่งเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3 เมตร 80 เซนติเมตร แต่ตอนที่เข้าจับเหลือน้ำมันเพียง 1 เมตรเท่านั้น

--------------------

วานนี้ (18 มิ.ย. 67) ช่วงเช้า พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สอบปากคำผู้ต้องหาที่เป็นลูกเรือทั้ง 8 คน  ที่ สภ.เมืองสงขลา พบว่า


ผู้ต้องหาที่จับมา 8 คน ในจำนวนนี้เป็นไต้ก๋งเรือ 3 คน แต่มีไต้ก๋งเรือคนหนึ่งเป็นคนคอยรับคำสั่งทางโทรศัพท์จากคนที่ชื่อ 'เล็ก' แล้วมากระจายข่าวให้กับไต้ก๋งเรืออีก 2 ลำ ว่า ให้เอาเรือออกวันไหน เวลาเท่าไหร่ ก่อนจะเคลื่อนไปที่ประเทศกัมพูชา เพื่อถ่ายน้ำมันลงเรือขนาดใหญ่ แล้วให้ลูกเรือ 7 คน ลงเรือขนาดใหญ่ไป พอถูกเจ้าหน้าที่กดดันหนัก เจ้าของเรือตัวจริง ก็สั่งให้เรือทั้ง 3 ลำ ล่องไปทางปัตตานี โดยให้วิ่งไปในน่านน้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone: EEZ)


แต่ระหว่างที่วิ่งมาได้ราว 100 ไมล์ทะเล (ราว 200 กิโลเมตร) จากน่านน้ำกัมพูชา  และกำลังจะเข้าน่านน้ำมาเลเซีย ปรากฎว่า 'เรือดาวรุ่ง' เสีย จึงต้องลากกันมา ทำให้ตำรวจน้ำที่แกะรอยมาตามข้อมูลที่มี ตามจับได้ทัน


ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับครั้งนี้ มีการฮั้วหรือรู้กันกับเจ้าของเรือหรือไม่ เพราะหลังจากถ่ายน้ำมันออกไปแล้ว ถึงปล่อยเรือมาให้ตำรวจจับ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันว่า ไม่มีการสร้างภาพ แต่เป็นตามยุทธวิธีของตำรวจ


นักข่าวถามว่า ทำไมตำรวจใช้เรือเล็กไปจับ ทำไมไม่ใช้เรือตรวจการณ์ลำใหญ่ ตำรวจชุดจับกุม ชี้แจงว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษมัจฉานุ เป็นชุดปฏิบัติการทางน้ำอยู่แล้ว และการล่องเรือออกไป ก็มีเรือใหญ่ไปด้วย แต่การเข้าตรวจสอบใช้เรือลำเล็กเข้าไปจะคล่องตัวกว่า ส่วนภาพที่เห็นเหมือนว่า ทำไมลูกเรือยอมให้ขึ้นเรือง่าย ๆ เอาบันไดพาดเรือได้เลย เพราะคนบนเรือจะรู้อยู่แล้วว่าหนีไม่รอด ยอมจำนนจะง่ายกว่า


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ กล่าวเสริมว่า ตั้งแต่จับเรือทั้ง 5 ลำมา ตำรวจได้ถอดจีพีเอสออกไปแล้ว แต่ปรากฎว่าไต้ก๋ง 'เรือ เจ พี' มีเครื่องจีพีเอสสำรองซ่อนไว้ที่หัวเตียง ทำให้สามารถใช้เครื่องนี้ล่องเรือออกไปได้ แต่มีข้อจำกัดคือ เรือทั้ง 3 ลำ มีจีพีเอสลำเดียว จึงต้องล่องเรือตามกันไป พร้อมยอมรับว่า มีการวางแผนมาแล้วก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ


จนกระทั่งวันที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้ใช้เวลาสบโอกาส จากสภาพอากาศแปรปรวน และจากการโทรสั่งการของผู้บงการ และนำเรือออกไปโดยที่ไม่มีใครเห็น ซึ่งจากพยานหลักฐานชี้ชัดว่า เกี่ยวข้องกับ 'เสี่ยโจ้ ปัตตานี' ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพื่อที่จะพิจารณาการออกหมายจับ 'เสี่ยโจ้' หรือไม่ในสัปดาห์หน้า


ส่วนการสอบสวนตำรวจน้ำทั้ง 4 นาย ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตหรือไม่ อยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งจะเสร็จภายใน 7 วัน ซึ่งยอมรับว่า วงการค้าน้ำมันเถื่อนมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่น เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือกระทำผิดชัดเจน ก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด


ขณะที่ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เปิดเผยว่าน้ำมันที่หายไป คือ น้ำมันดีเซลสีเหลือง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าน้ำมันที่เหลืออยู่เป็นน้ำมันชนิดเดียวกับที่เคยจับได้หรือไม่ และน้ำมันที่อยู่ในเรือเหลือเท่าไหร่ ต้องดูดขึ้นมาตรวจสอบก่อน

----------------
เวลา 18.00 น. ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษมัจฉานุ รวมถึง ชุดสืบสวนจังหวัดสงขลา และตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จัดเตรียมกำลังความพร้อม ในการนำตัวผู้ต้องหา 8 คน ซึ่งเป็นลูกเรือของกลาง 3 ลำ ที่ถูกจับได้ เดินทางไปขึ้นเครื่องบินตำรวจ ที่กองบิน 56 หาดใหญ่ เพื่อนำตัวกลับไปที่กองบังคับการปราบปราม กรุงเทพฯ ก่อนนำตัวฝากขังที่ศาลอาญา วันนี้ (19 มิ.ย. 67)  


โดย บริเวณหน้า สภ.เมืองสงขลา มีกลุ่มครอบครัวของผู้ต้องหาบางส่วน มารอเจอหน้า เนื่องจากหลังถูกคุมตัวมา ยังไม่มีใครได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องหา ตำรวจยังไม่อนุญาต เพราะต้องรอให้การสอบปากคำเสร็จสิ้น โดยญาติได้นำอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของเครื่องใช้ มาฝากตำรวจไปให้ผู้ต้องหา


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ขึ้นรถบัสของตำรวจกองบังคับการปราบปราม  ไปยังกองบิน 56 อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา เพื่อนำตัวขึ้นเครื่องบินตำรวจ โดยมีการวางกำลังคุมเข้มตลอดเส้นทางจาก สภ.เมืองสงขลา ไปจนถึงกองบิน 56  โดยท่าอากาศยานอนุญาตให้รถบัสผู้ต้องหาเข้าไปจอดที่รันเวย์ได้  ก่อนส่งตัวขึ้นเครื่องบิน


เวลา 22.07 น. เครื่องบินตำรวจ ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ซึ่ง พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษมัจฉานุ คุมตัวผู้ต้องหาลงจากเครื่องบิน และมอบตัวผู้ต้องหาให้ชุดปฏิบัติพิเศษหนุมาน CIB  นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นรถไปยัง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อส่งพนักงานสอบสวน  


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาทั้ง 8 คน มีสีหน้าเคร่งเครียดอยากเห็นได้ชัด  ทีมข่าวพยายามสอบถาม แต่ผู้ต้องหาไม่ตอบคำถามใด ๆ


ด้านพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า เบื้องต้น ได้สอบปากคำผู้ต้องหา 8 คน ที่จังหวัดสงขลาไปบ้างแล้ว  โดยผู้ต้องหาทุกคนให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี หลังจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของตำรวจกองปราบปราม ที่จะสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง และจะสอบปากคำต่อทั้งคืน


โดยประเด็นหลักที่จะสอบปากคำ คือ เรื่องการขยายผลไปถึงผู้บงการ และผู้ว่าจ้างจากนั้น ช่วงเช้า วันนี้ (19 มิ.ย. 67) จะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังผัดแรก


-------------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/IVp_kjEBwY4


คุณอาจสนใจ