สังคม

'บิ๊กโจ๊ก' ดับเครื่องชน ร้องเอาผิดนายกฯ 'เศรษฐา' เมิน บอกไม่ใช่เรื่องใหม่ มั่นใจชี้แจงได้-ทำตามกม.

โดย passamon_a

23 เม.ย. 2567

205 views

'บิ๊กโจ๊ก' เปิดศึกนายกรัฐมนตรี ร้อง ป.ป.ช. สอบปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 'เศรษฐา' เมิน บอกไม่ใช่เรื่องใหม่


เมื่อวันที่ 22 เม.ย.67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้เดินทางมาร้องทุกข์ 3 เรื่อง ได้แก่


1. ยื่นร้องนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในเรื่องการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. เพราะที่ผ่านมาไม่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมายื่น มีเพียงแค่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีต ผบ.ตร. มายื่นเท่านั้น วันนี้ตนเองมายื่นในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงมาร้องทุกข์

2. ยื่นร้องนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีคำสั่งให้ตนเองกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำสั่งให้มาช่วยราชการ

3. ยื่นร้องทุกข์ให้ตรวจสอบว่า การสอบสวนของคณะพนักงานสืบสวนเว็บพนันฯไม่มีอำนาจในการสอบสวน และร้องให้ตรวจสอบหัวหน้าพนักงานสอบสวน รวมถึงคณะพนักงานสอบสวนทุกนาย ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ในการทำคดีเว็บพนันฯ


ภายหลังการยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เดินลงมาแถลงกว่า 1 ชั่วโมง พร้อมกระดานไวท์บอร์ดและแผนผังแผ่นกระดาษ จำนวน 8 แผ่น


โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของตัวเอง หลังจากถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมมา 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงต้องออกมาใช้สิทธิ์ในการต่อสู้อย่างถูกต้อง ซึ่งยืนยันว่าส่วนตัวไม่ได้กังวล เพราะเชื่อมั่นว่าอย่างไรตนก็จะได้กลับมา และก่อนจะไปดูว่า ตนเองและลูกน้องผิดหรือถูก ต้องดูก่อนว่า ใครคือผู้มีอำนาจในการสอบสวน เพราะถ้าสอบโดยไม่มีอำนาจ จะต้องติดคุก


จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยกแผนผังมาอธิบายประกอบถึงการแถลงข่าว เรื่องอำนาจในการสอบสวน ที่เริ่มจากการดำเนินคดีลูกน้องตนเอง 8 คน เมื่อมีการดำเนินคดีแล้ว สุดท้าย ป.ป.ช.มีมติ เรียกสำนวน ลูกน้องของตนเอง 8 คน และสำนวนที่กล่าวหาตนเองในครั้งแรก 5 คน มาไว้ที่ ป.ป.ช. ซึ่งเหตุผลที่ ป.ป.ช. เรียกสำนวนกลับมาเพราะอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. เนื่องจากหากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ก็อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.มีอำนาจที่แท้จริง ส่วนตำรวจมีหน้าที่แค่รวบรวมสำนวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้น ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน ตามกฎหมาย ป.ป.ช.


ซึ่งเรื่องนี้ เกี่ยวกับตนเองคือ คดีนี้เริ่มครั้งแรก ที่พนักงานสอบสวนเห็นเส้นเงินของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่าใช้บัญชีม้ากี่คน เส้นเงินมีทั้งหมดเท่าไหร่ แล้วพนักงานสอบสวนได้ทยอยแบ่งสำนวนออกมาทำ ซึ่งหากผู้ต้องหาคนเดียวกัน เส้นเงินเส้นเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน เป็นความผิดฐาน 157 ต้องส่ง ป.ป.ช.ในคราวเดียวกันเลย จะมาแยกเป็นตอน ๆ ซอยแยกไม่ได้


"เส้นเงินคนเดียวกัน บัญชีม้าก็เป็นของคริษฐ์ เว็บพนันจะมีกี่เว็บ ถ้าผู้ต้องหาคนเดียวกัน เช่น ถ้ามีบ่อน 10 บ่อน ก็เจ้าของบ่อนคนเดียว ดังนั้นคดีแบบนี้เป็นคดีเดียวกันจะแยกมาสอบสวนไม่ได้" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ดังนั้น ป.ป.ช.เห็นว่า จะเกิดความเสียหาย จึงมีมติเรียกสำนวนกลับในวันที่ 2 ธันวาคม 2566 และก่อนหน้านี้ ตำรวจก็มีการสั่งฟ้องไปที่อัยการ โดยไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ทราบถือเป็นการทำแทน ป.ป.ช. อัยการสั่งมาสอบเพิ่มเติม ผ่านมา 3 เดือนกว่าแล้วก็ยังไม่สอบเพราะไม่รู้จะสอบยังไง เนื่องจากคดีนี้ไม่ได้หวังผลทางคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนเองเป็น ผบ.ตร.


ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาตนเองในคดีใหม่ ก็มาอาศัยจากคดีเดิม และแจ้งข้อกล่าวหาตนเองคดีฟอกเงิน เพื่อจะได้ไม่ต้องส่ง ป.ป.ช. แต่คดีที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐต้องส่ง ป.ป.ช.หมดจะแยกไม่ได้ รวมถึงเมื่อแจ้งคดีฟอกเงินแล้ว ก็ยังเก็บคดีไว้ 4 เดือน แล้วไปสู่การออกหมายเรียก และออกหมายจับ และก่อนหน้านี้ตนเองก็ทำหนังสือโต้แย้งไปว่าอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. เพื่อให้พนักงานสอบสวนส่งมา และยืนยันว่า ที่ตนเองต้องการให้ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ไม่ใช่เพราะรู้จักกับใคร แต่เพราะเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.


และมีการออกหมายเรียกตนเอง 3 ครั้ง จนไปขอหมายจับ และตนเองก็ไม่ได้หลบหนี ทั้งนี้การไปขอหมายจับ ตนเองก็เคารพศาลและไปมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และก่อนหน้านี้ตนเองถูกไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น หลังศาลออกหมายจับ ก็ยังไม่ส่งสำนวนไป ป.ป.ช. เพราะรอให้มีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน เหมือนครั้งในอดีตที่ ซึ่งถือเป็นการกระทำโดยมิชอบ


อีกทั้งวันที่ 18 เม.ย. ตนเองยังไม่ได้ไปรับหนังสือคำสั่ง แต่กลับถูกส่งตัวกลับสำนักงานตำรวตแห่งชาติ ก็ให้ออกจากราชการ จากนั้นวันที่ 19 เม.ย. ตำรวจก็ส่งสำนวนทั้งหมดให้ ป.ป.ช.เลย จึงขอถามว่า มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แบ่งงานกันทำอย่างแยบยลหรือไม่


วันนี้จึงขอมาพูดถึงเรื่องของอำนาจ ไม่ได้พูดเรื่องสำนวน เพราะหากอำนาจไม่ชอบ พยานหลักฐานที่นำเข้าสำนวน ก็เป็นไปโดยมิชอบ เอาเข้าสำนวนไม่ได้ตามหลักกฎหมาย


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้อธิบายต่อ ถึงอำนาจของดีเอสไอ หากเป็นคดีฟอกเงิน ตำรวจก็จะหมดอำนาจ จะต้องส่งไปให้ดีเอสไอ ภายใน 15 วัน แต่ก็มีข้อโต้แย้งจาก สน.เตาปูน ว่า มูลค่าความผิดเรื่องฟอกเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท ทั้งที่คำร้องขอหมายจับ ระบุว่ามูลค่า 490 ล้านบาท ก็ยังไม่ส่งสำนวนไป เก็บสำนวนไว้เรื่อย ๆ เหมือนอำนาจเถื่อน เหมือนอาญาเถื่อน เพราะจะเอาไอ้โจ๊กให้ตายให้ได้ และไปตั้งคณะสอบสวนใหม่อีกในการตั้งรับคดี ซึ่งก็มีการเขียนตั้งคดีว่า มีเงินหมุนเวียน 400 ล้าน แล้วก็เก็บคดีไว้ ไม่ส่งคดีไปที่ดีเอสไออีก แล้วดีเอสไอก็ส่งหนังสือไปที่เตาปูน เตาปูนก็ตอบกลับมาว่า มูลค่าไม่ถึง 300 ล้านอีก ดีเอสไอจึงออกหนังสือชี้แจงมา ได้มีการทำรายงานสืบสวนส่งไปที่ ป.ป.ช. ว่าเป็นคดีพิเศษ ให้ ป.ป.ช.พิจารณาตามกฎหมาย


"คุณรับสารภาพโดยดุษฎีเองด้วย เพราะส่งสำนวนมาให้ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นั่นหมายความว่า รับสารภาพเรื่องอำนาจหน้าที่แล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า เมื่อการสอบสวนไม่ชอบทุกอย่างก็ล้มทั้งกระดาน ไม่ต้องไปพิจารณาในเนื้อสำนวน และเมื่อการสอบสวนไม่ชอบ การดำเนินการต่อมาคือทางวินัย และผมถูกดำเนินการทางวินัย เมื่อต้นไม้เป็นพิษ ผลไม้เป็นพิษหมด และคดีนี้ขอให้คนดำเนินคดีไปคิดให้ดี ๆ ไม่งั้นผู้กำกับเตาปูนคงไม่ออกมาลาออก และการให้ผมออกจากราชการทำได้ แต่เมื่อทำไปแล้วหนังคนละม้วน


ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรี อยู่ดี ๆ ตั้งกรรมการสอบตนเอง 60 วัน วันดีคืนดี ตนเองเตรียมไปให้การ แต่กรรมการสอบยังไม่ได้สอบ ยังสอบไม่เสร็จ ก็ส่งตัวกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ออกจากราชการ แล้วแบบนี้สังคมและประชาชนจะงงกับการกระทำหรือไม่


"มันเป็นการกลั่นแกล้งให้ผมไม่ได้เป็น ผบ.ตร. เพราะผมเป็นเบอร์ 1 ถ้าเป็นเบอร์ 6 คงอยู่ได้สบาย" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมองอีกว่า ที่ต้องให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน เพราะเมื่อส่งสำนวนมา ป.ป.ช.แล้ว หลักกฎหมาย ป.ป.ช. หากยังไม่ชี้มูลถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจะให้ออกจากราชไม่ได้ จึงต้องมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนที่จะส่งสำนวนไป ดังนั้นการมีกระทำขัดต่อกฎหมาย จะเป็นการกระทำโดยมิชอบแน่นอน


"และวันนี้ เป็นการกล่าวหานายกฯ แค่เรื่องแรก อีก 3-4 วันจะมากล่าวหานายกรัฐมนตรีอีก และจะกล่าวหา รักษาการ ผบ.ตร. พร้อมยื่นฟ้องศาลอาญาทุจริตด้วย วันนี้จึงขอให้ไปนั่งเอาหัวชนกันให้ดีว่าใครหลอกใครใครถูกหลอกกันแน่" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า หากสอบสวนแบบนี้แล้วความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน และถ้าผมผิดจริงผมออกเลย ไม่อยู่สู้หรอก ผมออกเลยผมรับสภาพ แต่วันนี้ มันสอบสวนไม่เป็นธรรมผมต้องสู้ และคุณทำอะไรเหมือนเป็นอาญาเถื่อน การสอบสวนโดยมิชอบ และวันนี้เมื่อผมออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ผมมีเวลาเยอะ หลังจากนี้เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน


ส่วนจะกลับไม่กลับไปรับตำแหน่งอีกได้หรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ และใครก็ตามที่ถูกกระทำแบบนี้ก็สู้กันทุกคน ถ้าผิดจริง ผมน้อมรับ ผมไม่สู้ ผมนักเลงอยู่แล้ว แต่วันนี้สอบสวนไม่เป็นธรรม และตนเองก็สู้ตามสิทธิของตนเอง และก่อนหน้านี้ได้ไปยื่นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมแล้ว ว่าการโยกมาช่วยราชการ เป็นการโยกโดยมิชอบ ซึ่งคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ก็เกิดขึ้นใน พรบ.ตำรวจฉบับใหม่ คณะกรรมการชุดนี้ ก็เหมือนศาลปกครอง ทำให้ตำรวจไม่ต้องไปหาความเป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวจึงถามถึงกรณีเอกสารที่ปรากฏในโซเชียล พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบด้วยท่าทีขึงขังว่า วันนี้ตนอยู่ใน ป.ป.ช.อยู่แล้ว สื่อมวลชนเห็นอยู่แล้วว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง แต่อย่างนี้ได้หรือไม่ ตนขออนุญาตไม่พูด วันนี้ทาง ป.ป.ช. ก็คงจะนำเอกสารนี้เข้าสู่ที่ประชุมพิจารณา


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังยกมือไหว้อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 หน้า ป.ป.ช. พร้อมระบุว่า วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำอะไรไปก็ได้อย่างนั้น ไม่ได้ว่าใคร


"การเป็น ป.ป.ช.อะไรต่าง ๆ ผมมาหาความยุติธรรมที่นี่ เมื่อองค์กรของผมให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็เลยต้องมาหาความยุติธรรมนอกองค์กร แต่ว่าเรื่องหนังสือผมขอไม่พูดก็แล้วกัน ได้หรือไม่"


ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าเอกสารนั้นเป็นจริงหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า ก็เป็นไปตามข่าว แต่ตนคงไม่ไปพูดว่าเป็นอย่างไรบ้างก็แล้วกัน สื่อก็เห็นอยู่แล้ว


"ผมขอไม่พูดว่า Yes No ก็แล้วกันนะ แต่สื่อต้องเข้าใจได้อยู่แล้วแหละว่าจริงหรือไม่ ผมว่าสื่อรู้ มันมีที่ไปที่มาเยอะ แล้วมันก็จะแมชกันหมด วันนี้ถึงบอกว่าใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น แต่บังเอิญว่าผมโชคดีที่ผมเป็นคนใต้ เป็นนักสู้มันเต็มตัวอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นก็จะหมอบไปแล้ว ต้องไปดูประวัติว่าที่ผ่านมาผมฟ้องใครบ้าง" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


เมื่อถามว่าการที่เอกสารหลุดมา อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีที่แถลงวันนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สื่อต้องไปดูเอง ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำอีกว่าเอกสารมาได้อย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องโอ้ย ระบุว่า "ผมไม่ทราบ"


ส่วนได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีหรือยัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวตอบปฏิเสธว่า ขอไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวจะบานปลาย พร้อมปฏิเสธอีกรอบว่าตนไม่ได้เป็นคนปล่อยเอกสารดังกล่าว


ส่วนที่มีการต้องข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นการปล่อยเอกสารมาเอง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นคนปล่อย ขอปฏิเสธ ตนมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของ ป.ป.ช.


เมื่อถามว่าครั้งนี้ออกมาลุยเอง มั่นใจว่าจะกลับไปรับราชการได้เหมือนเดิม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กลับหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ แต่วันนี้ตนสู้ในเรื่องของการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะหากคนไม่สู้ก็คงเสียสิทธิ์ไปตลอดชีวิต ถ้าผิดจริงตนก็ยอมคง ไม่สู้ แต่นี่เป็นการสอบสวนโดยไม่เป็นธรรม


เมื่อถามว่าสิ่งที่กำลังเจออยู่นี้เป็นการรุมกินโต๊ะหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สื่อยังเห็นเลยว่าเป็นการรุมกินโต๊ะเป็นเพราะความตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมืองของตน ซึ่งผู้บังคับบัญชาต้องให้ความเป็นธรรม ไม่ใช่ไปเอากับเขาด้วย ซึ่งตนจะดำเนินการกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนจะมีคนต้องติดคุกหรือไม่ขอให้รอติดตาม ซึ่งหลังจากนี้ก็จะออกมาเปิดเผยเรื่องการตรวจสอบวินัยร้ายแรงในอีก 2-3 วัน และไม่ได้กังวลหากหลังจากนี้จะต้องถูกดำเนินคดีอะไรอีก ก่อนทิ้งท้ายว่าตอนนี้ยังไม่คิดลงเล่นการเมือง หากไม่สามารถกลับมารับราชการได้


"เราเป็นตำรวจเราสอบสวนมาเอง ผมเป็นตำรวจก็ไม่เคยสอบสวนแบบนี้ แล้วไปไล่ผมออกก็ยิ่งไม่ชอบ แล้วนายกฯ ก็ตั้งกรรมการสอบแล้วส่งผมกลับ ผมก็งง ประชาชนก็งงกันหมดแล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


ด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีคนไปร้องแล้วครั้งหนึ่ง แล้วนี้ก็มีการร้องซ้ำอีก ซึ่งตนมั่นใจว่า ตนชี้แจงได้ เพราะแต่งตั้งด้วยความเป็นธรรม ในกระบวนการแต่งตั้งก็มีกรรมวิธี รับฟังความคิดเห็นจากทุกคนอย่างเป็นธรรม มีการพูดคุยกันในวงกว้างถึงจะสรุป


เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เขาร้องในฐานะที่เขามีส่วนได้ส่วนเสียในการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ครั้งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คะแนนในวันนั้นก็ชัดเจน 9-1 เป็นเรื่องที่บ่งบอกชัดเจน มีคนไม่ออกเสียง 1 คน ที่เหลือเลือกให้พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีเพียงหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นชอบ ก็ถือว่าคะแนนเป็นเอกฉันท์


เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องในเรื่องที่ถูกโยกมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและถูกย้ายกลับไป จนนำไปสู่คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอมา และตนก็ส่งกลับไปเป็นเพียงการรับทราบเฉย ๆ และจริง ๆ แล้วหากตนไม่ปฏิบัติตามตนโดน 157 มากกว่า ตนมั่นใจว่าตนทำตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ได้เข้าข้างใคร และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับคนใดคนหนึ่ง


เมื่อถามว่าได้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าเรื่องเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งมาร้องตอนนี้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็สงสัยเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เพราะตนเชื่อว่าตนทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ได้กลั่นแกล้งใคร ไม่ได้ลำเอียงกับใครคนใดคนหนึ่ง เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง


เมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณี พลตำรวจเอกต่อศักดิ์และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ได้มีการรายงานความคืบหน้ามาแล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังครับ แต่เรื่องที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ถูกออกจากราชการ เป็นคนละเรื่องกันกับที่กรรมการตรวจสอบ โดยคณะกรรมการก็ต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไปและให้ความเป็นธรรม ซึ่งเมื่อช่วงศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้เจอกรรมการ ท่านก็บอกว่ากำลังตรวจสอบอยู่ทั้งสองคน ให้ความเป็นธรรมไม่ได้เร่งของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้มีธงว่า คนใดคนหนึ่งต้องมีความผิด ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/bYIQHmvCdhM

คุณอาจสนใจ

Related News