สังคม

รวบ 'เจ๊เก่ง' รอง ผอ.รร.ค้ายา ให้สมุนลวงหมอเสพยา-สูบเงิน พบลูกค้าข้าราชการเพียบ

โดย nattachat_c

28 มี.ค. 2567

617 views

วานนี้ (27 มี.ค. 67) สืบนครบาล (IDMB) ร่วมกับ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) นำกำลังร่วมกัน สืบสวน ติดตาม และจับกุมตัว นายเศรษฐยศ (สงวนนามสกุล) หรือ 'เจ๊เก่ง' รองผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังย่านปากเกร็ด อายุ 42 ปี และนายกฤตฌาน์พัฒน์ (สงวนนามสกุล) หรือ 'ท็อป' อายุ 37 ปี  ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 หมายจับ คือ หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.318/2564 ลงวันที่ 20 มิ.ย.64 ซึ่งจับกุมตัวได้ที่ห้องพัก ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านรัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี


โดยทั้ง 2 คน ถูกแจ้งข้อหาว่า 'ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน' และ 'เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) โดยผิดกฎหมาย'


สำหรับ นายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือ 'ท็อป' ประวัติถูกดำเนินคดียาเสพติด กว่า 4 คดี เช่น 


1. พ.ศ.2557 ถูกดำเนินคดีข้อหา 'ครอบครองยาเสพติด (ยาไอซ์) เพื่อจำหน่าย' พื้นที่ สน.สุทธิสาร


2. พ.ศ.2560 ถูกดำเนินคดีข้อหา 'เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1' พื้นที่ สน.สุทธิสาร


3. พ.ศ.2562 ถูกดำเนินคดีข้อหา 'มียาเสพติดประเภท 1 (แอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง' พื้นที่ สน.บางโพงพาง


4. พ.ศ. 2564 ถูกดำเนินคดีข้อหา 'มียาเสพติดประเภท 1 (แอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย' พื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ

--------------

นี้ จากการตรวจค้นห้องพัก สามารถตรวจยึดของกลาง จำนวน 10 รายการ ได้แก่


1. ยาเสพติด ประเภทไอซ์ ประมาณ 100 กรัม (ลักษณะใส่ถุงเตรียมแบ่งขาย)


2. คีตามีน จำนวน 2 ถุง


3. เงินสด 31,500 บาท


4. สมุดบัญชีธนาคาร 5 เล่ม (พบเงินหมุนเวียน 1.3 ล้านบาท ใน 3 เดือนที่ผ่านมา)


5. ถุงยางอนามัย จำนวน 200 ชิ้น


6. เจลหล่อลื่นบรรจุซอง จำนวน 100 ซอง


7. ไวอากร้า จำนวน 50 ซอง


8. เข็มฉีดยาพร้อมสายยังรัด จำนวน 100 เข็ม


9. Eternal drive จำนวน 6 อัน (บรรจุหนังลามก ประเภทชายรักชาย ร่วม 6 TB)


10. อุปกรณ์การเสพยาเสพติด และเครื่องชั่ง อีกหลายรายการ

----------------

คดีนี้จุดเริ่มต้นมาจาก 'นายท็อป' ผู้เขย่าวงการแพทย์ LGTBQ+ หลังเจ้าตัวแอบอ้างว่า ตนเป็นแพทย์อายุรกรรม โรคหัวใจ โรงพยาบาลดัง ก่อนจะสร้างสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบชายรักชาย กับเหล่าบุคลากรทางการแพทย์หนุ่ม แล้วหลอกล่อให้เสพยา


ผู้เสียหายรายล่าสุด เป็นบุคลากรทางการแพทย์ อายุ 30 ปี ถูกลวงให้เสพยา โดยอ้างว่าเป็น 'ยาบำรุง' กระทั่งเหยื่อติดสารเสพติดงอมแงม ตกเป็นทาสกามแบบถอนตัวไม่ขึ้น ถูกหลอกให้ถ่ายคลิปลับ ถูกหลอกถลุงเงินไปหลายล้านบาท เพื่อแลกกับการได้เสพยา จนเหยื่อแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ซึ่งจากการสืบสวน ติดตาม ทราบว่า นายท็อป คือ นายกฤตฌาน์พัฒน์ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ 2 หมาย ในคดีค้ายาเสพติด


ทั้งนี้ เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ที่ชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) อำพลางแฝงตัวเข้าวงการชายรักชาย จนพบเบาะแสว่า 'นายท็อป' เป็นสมุนของเอเย่นต์ตัวเป้งย่านปากเกร็ด และเอเย่นต์รายนี้ยังมีดีกรีเป็นถึงข้าราชการ โดยมักรวมพลเหล่าข้าราชการเกย์ในก๊วน มั่วสุมปาร์ตี้ยาเสพติดในคอนโดแห่งหนึ่ง บน ถ.รัตนาธิเบศร์


ต่อมา วันที่ 26 มี.ค. 67 เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังชุดสืบนครบาล บุกไปที่ห้องพักที่ใช้มั่วสุมดังกล่าว โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเคาะประตู ภายในห้องพักไหวตัว ทำลายพยานหลักฐานไปบางส่วน


แล้วเมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้องได้ ก็พบ นายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือ 'นายท็อป' อยู่ภายในห้อง กับหัวหน้าก๊วนคือ นายเศรษฐยศ หรือ ‘เจ๊เก่ง’ ซึ่งเป็นข้าราชการครูระดับ รอง ผอ. ของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านปากเกร็ด


แรกเริ่มเจ้าตัวมีท่าทีบ่ายเบี่ยงกับเจ้าหน้าที่ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่เมื่อทำการตรวจค้นห้องพัก ก็พบยาเสพติดในลักษณะเตรียมแบ่งขายหลายรายการ พบสมุดบันทึกการซื้อขายยาเสพติดจำนวนมาก


และยังพบ ยากระตุ้นอารมณ์ // ถุงยาง // เจลหล่อลื่น และหนังโป๊ชายรักชายจำนวนมาก โดย ‘เจ๊เก่ง’ อ้างว่า อุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น ไว้ใช้สอนหนังสือในโรงเรียน


แต่จากการขยายผลของชุดจับกุม พบว่า ‘เจ๊เก่ง’ เป็นถึงระดับหัวจ่าย ที่คอยส่งยาเสพติดให้กับข้าราชการอีกหลายคน โดยพบเงินหมุนเวียนในห้วงเดือนที่ผ่านมา กว่า 1,300,000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบสารเสพติดในร่างกายของทั้งสอง พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งท้ายสุด ทั้งสองคนก็ยอมรับสารภาพ


ในชั้นจับกุม นายเศรษฐยศ หรือ 'เจ๊เก่ง' ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ปัจจุบันตน ประกอบอาชีพรับราชการครู ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด สอนวิชาการงานอาชีพให้แก่เด็กชั้นประถมศึกษา


โดยเริ่มเสพยาตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2566 และเริ่มสั่งยาเสพติดจากทวิตเตอร์มาขายในช่วงต้นปี พ.ศ.2567  ซึ่งนำมาขายให้เพื่อน // วัยรุ่น และข้าราชการ ย่านรัตนาธิเบศร์


จนถึงปัจจุบัน ตนยังคงรับราชการครูอยู่ และยังขายยาเสพติดไปด้วย และได้รู้จักกับนายท็อป เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยนายท๊อปไป ๆ มา ๆ ที่ห้องของตนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนได้นำยามาขายให้กับนายท็อป และให้นำไปขายเรื่อยมา”


ด้าน นายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือ 'นายท็อป' ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเกิดที่กรุงเทพฯ และโตที่กรุงเทพฯ เข้าเรียนชั้นอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต คณะวิศวกรรมศาสตร์


เมื่อจบการศึกษา ได้ออกมาประกอบอาชีพออร์แกไนซ์จัดงานเป็นระยะเวลา 1 ปี จึงได้เรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวัน จนจบปริญญาโท ได้ประกอบอาชีพอยู่ที่บริษัทประกัน จากนั้น ได้เริ่มใช้ยาเสพติด เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อเนื่อง จนชีวิตเริ่มดำดิ่ง


กระทั่ง ถูกดำเนินคดีขณะเสพยาอยู่กับกลุ่มเพื่อน ในปี พ.ศ. 2557 ติดคุกอยู่ 1 ปี 3 เดือน หลังจากออกมาจากเรือนจำเมื่อปี พ.ศ.2558 ตนก็พยายามหางาน เพราะไม่ต้องการเป็นภาระของทางบ้าน แต่ไม่สามารถหางานได้ เนื่องจากตนเคยติดคุกมาด่อน เมื่อไปสมัครงานที่ไหน ก็ไม่มีใครรับ


ตนจึงได้หวนกลับมาในเส้นทางเดิม โดยเริ่มขายยาเสพติด จนเริ่มคบหาดูใจกับแฟนหนุ่ม ซึ่งประกอบอาชีพแพทย์มา 2 คน และได้เลิกรากัน


นายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือ นายท็อป ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ไปหลอกลวงเหล่าแพทย์ชาย แต่เพราะพวกหมอเหล่านั้น ติดยาเสพติดที่ตนเอาไปให้เอง


ต่อมา ได้มารู้จักกับครูเก่ง และตนก็มารับยาจากครูเก่งไปขายเป็นประจำ โดยขายให้กับกลุ่มเพื่อน จนในที่สุด ตนได้ถูกออกหมายจับ และถูกจับกุมตัวส่งศาล แต่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ตนจึงได้หลบหนีในขณะที่ศาลให้ประกันตัว เป็นระยะเวลา 2 ปี จนมาถูกจับในวันนี้”


พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ทันทีที่เข้าจับกุมเจ้าตัว ทั้งคู่เหมือนรู้ตัวว่ามีของผิดกฎหมาย จึงพยามถ่วงเวลาไม่เปิดประตู เจ้าหน้าที่จึงรีบบุกเข้าไปจากการตรวจ ค้นพบยาเสพติดประเภทไอซ์ ลักษณะซอง และ สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการแบ่งจำหน่ายยาเสพติด


พฤติกรรมของ รอง ผอ. คนนี้ ต้องตรวจสอบว่า ทำมานานขนาดไหนแล้ว เบื้องต้นอ้างว่า ติดยาเสพติดมานานแล้ว และไม่ได้จำหน่าย เพียงแต่แจกจ่ายให้เพื่อนที่เจอกันในกลุ่มลับ แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะเจ้าหน้าที่ค้นพบสมุดบันทึกที่เป็นรายละเอียดของการลงเกี่ยวกับการส่ง-การจ่าย สิ่งที่ผิดกฎหมาย ในรายชื่อก็พบชื่อของข้าราชการพอสมควร และมีหลากหลายอาชีพ ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้เน้นที่ครู แต่เน้นที่กลุ่มชายรักชาย

---------------

ขณะที่ นายท็อป อ้างว่า ไม่ได้หลอกผู้เสียหายโดยบอกว่าเป็นความรัก ซึ่งตำรวจไม่ได้ปักใจเชื่อคำพูด


โดยทางเจ้าหน้าที่ ได้ระบุว่า สำหรับเคสนี้ จุดอ่อนของเหยื่อคือ นายท็อปเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูง และจะเลือกเหยื่อที่มีหน้าตาทางสังคม ที่มีรสนิยมที่เปิดเผยไม่ได้ 


พอเหยื่อถูกหลอก หรือถูกกระทำ ก็จะไม่กล้าแจ้งความตำรวจ หรือไม่กล้าเปิดเผย เพราะกลัวครอบครัว และตนเอง เสียหาย


นอกจากนี้ พบว่า ทางผู้กล่าวหาให้ข้อมูลอ้างว่า พอเหยื่อหลงรักแล้ว ก็จะเอาบัตรเครดิต และบัตรประชาชนของเหยื่อ ไปเปิดใช้งาน แล้วมีการถ่ายคลิปลับเพื่อข่มขู่


“กลุ่มผู้ต้องหา เป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม มีความรู้ และยังมีการสร้างเครือข่าย โดยการใช้ความเชื่อมโยงทางจิตใจ เพราะเป็นกลุ่มที่มีรสนิยมเดียวกัน  และส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าราชการเจ้าหน้าที่


และที่น่ากลัวที่สุดคือ ระดับหัวหน้าขบวนการเป็นครู ที่ต้องเป็นแม่พิมพ์ให้กับเหล่าอนาคตของชาติ และยังมีตำแหน่งระดับสูงในโรงเรียน ถือเป็นภัยต่อเยาวชนที่ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนอย่างยิ่ง เราจะขยายผลให้ถึงที่สุด”

---------------

ขณะที่ นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินทางไปที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานว่า รอง ผอ.ที่ก่อเหตุ กระทำความผิดจริงหรือไม่


เบื้องต้น ยืนยันเป็นบุคลากรของโรงเรียนจริง ทั้งนี้ ทางผู้บังคับบัญชา และตนเอง มีความกังวลเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบุคลากรด้านการศึกษาที่ไปเกี่ยวข้องเรื่องอย่างนี้ ซึ่งเชื่อว่า การที่ตำรวจจับกุม ก็น่าจะมีพยานหลักฐานรัดกุม


โดยทาง กพฐ.ก็จะดำเนินการทางวินัย สั่งให้ออกราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว ซึ่งคดีลักษณะนี้ ก็จะมีหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ซึ่งจะประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการกับทุกฝ่าย ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคลากร และนักเรียน ด้วย เชื่อว่า รอง ผอ.ที่ก่อเหตุ และถูกจับกุม ไม่น่าจะผิดตัว


จากการตรวจสอบกับทางเขตฯ ทราบว่า รอง ผอ. คนดังกล่าว ตอนอยู่โรงเรียนเป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่มีใครสงสัยพฤติกรรม แต่บางครั้งพบว่า ไม่สบายบ่อย ตนมองว่า การกระทำของ รอง ผอ.รายนี้ เป็นการกระทำส่วนตัว แต่โดยรวม คงปล่อยปละละเลยไม่ได้ เพราะเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ห้ามบุคลากรเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด


ด้าน ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ เปิดเผยว่า รอง ผอ.ที่ก่อเหตุ เพิ่งเข้ามาประจำตำแหน่งที่โรงเรียนนี้ ได้ประมาณ 3-4 เดือน เป็นคนมีโลกส่วนตัว ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร จะไม่ให้ใครเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะกลิ่นตัวเหม็น ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับการร้องเรียนจากเด็กนักเรียน และบุคลากรของโรงเรียน และไม่เคยมีการชักชวนเด็กนักเรียน หรือบุคลากรของโรงเรียน ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด


โดยตั้งแต่ย้ายมา ก็ทราบว่าเป็นโรคแพนิค และซึมเศร้า ซึ่งก็ได้มีการแนะนำให้ไปรักษา ซึ่งเจ้าตัวบอกจะไปทำการรักษา และไม่เคยทราบว่า มีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ยอมรับว่า พอทราบว่าถูกจับกุม รู้สึกตกใจ ส่วนเรื่องทางคดีก็ให้ขึ้นกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียด ส่วนเรื่อง รอง ผอ.เคยได้รับรางวัล หรือประกาศนียบัตรอะไรหรือไม่ ซึ่งตั้งแต่ที่ตนมารับตำแหน่ง ผอ. นาน 8 - 9 เดือน ยังไม่เคยเห็นรอง ผอ.รายนี้ ได้รับรางวัลอะไร ส่วนตัวมองว่า เป็นครูบาอาจารย์ไม่ควรทำแบบนี้

-------------------




รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/XxOFexyVx3E





คุณอาจสนใจ

Related News