สังคม

'คุณพ่อหมอกระต่าย' พอใจศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษคุก 10 ปี 2 เดือน 'ส.ต.ต.นรวิชญ์' ไม่ขอยื่นศาลฎีกา

โดย nattachat_c

17 ม.ค. 2567

226 views

วานนี้ (16 ม.ค. 67) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.399/2565 ที่พนักอัยการคดีอาญา 3 // นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล (บิดาหมอกระต่าย) // นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล (มารดาหมอกระต่าย) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก อายุ 21 ปี ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.) เป็นจำเลย ในความผิดฐาน...


  • ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน และกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
  • นำรถที่มิได้ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ
  • ฝ่าฝืนใช้รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี
  • ใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัย
  • นำรถไม่สมบูรณ์มาขับและไม่ติดกระจกมองข้าง
  • ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย
  • ขับรถจักรยานยนต์เร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
  • ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
  • ขับรถโดยไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง


จากกรณี เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565 เวลากลางวัน ส.ต.ต.นรวิชญ์ จำเลย ขี่บิ๊กไบค์ ยี่ห้อ ดูคาติ ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล (หมอกระต่าย) จักษุแพทย์ รพ.ราชวิถี ขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลาย บริเวณหน้า รพ.สถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท แขวง-เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตชุมชุน ด้วยความเร็ว 108-128 กม. ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ 80 กม.ต่อชั่วโมง จน พญ.วราลัคน์ ถึงแก่ความตาย


โดยขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถจักรยานยนต์ที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง และมีคำขอให้ศาลเพิกถอน หรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้ต้องหาด้วย


คดีนี้ 'ศาลชั้นต้น' มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2565 พิพากษา ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ กระทำผิดตามฟ้อง คงจำคุกรวม 1 ปี 15 วัน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ เเละโจทก์ร่วม ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลกำหนดโทษหนักขึ้น ส่วนจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลรอการลงโทษ

-------------

วานนี้ (16 ม.ค. 67) จำเลยเดินทางมาศาล โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น จำคุก 1 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 15 วัน และลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี และไม่ปรับจำเลยในข้อหานี้ โดยไม่รอการกำหนด หรือไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย นั้นเหมาะสม หรือได้สัดส่วน หรือสอดคล้องกับความร้ายแรง และพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลย และอัตราโทษที่กำหนดโดยกฎหมายหรือไม่


ทั้งนี้ 'ศาลอุทธรณ์' เห็นว่า พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลย เป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากขณะกระทำความผิด จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และบังคับใช้กฎหมาย ควรต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่จำเลยไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย และกระทำผิดต่อกฎหมายเสียเอง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน


และมีพฤติกรรมในทางฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจำเลยขับรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเมื่อจำเลยกระทำความผิด และจำเลยหลบหนีไปได้ ก็ทำให้การติดตามหาตัวคนกระทำความผิดเป็นไปได้ยากมากขึ้น จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยไม่เสียภาษีประจำปี หากเป็นประชาชนทั่วไปกระทำความผิดนี้ ต้องถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม และปรับโดยไม่มีละเว้น


จำเลยไม่ได้จัดให้มีการทำประกันภัยความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องทำ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้ได้รับการช่วยเหลือ และรักษาพยาบาลในเบื้องต้นได้ทันท่วงที เมื่อเกิดเหตุขึ้น ผู้ตาย และโจทก์ร่วมทั้งสอง จึงไม่ได้รับการเยียวยา หรือไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนในเบื้องต้นจากบริษัทผู้รับประกันภัย


จำเลยขับรถโดยไม่มีกระจกมองข้าง และขับรถด้วยความเร็วสูงมากถึง 108-128 กม.ต่อชั่วโมงในเขตเมืองบริเวณหน้าโรงพยาบาล ซึ่งเกินกว่าอัตราความเร็วที่กำหนดในกฎกระทรวง


อีกทั้ง ปรากฎทางม้าลายสำหรับคนเดินข้ามบริเวณหน้าโรงพยาบาลดังกล่าว จำเลยควรต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลง เพื่อระมัดระวังไม่ให้รถชนคนเดินข้ามถนน แต่จำเลยกลับขับรถจักรยานยนต์เร่งความเร็วแซงรถอื่นด้วยความเร็วสูง ทำให้รถชนผู้ตายตรงทางม้าลายจนร่างกระเด็นลอยสูง และตกลงพื้นห่างไกลจากจุดชนมาก ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตก กระดูกสันหลังหัก กระดูกซี่โครงหักหลายแห่ง ปอดฉีก เนื่องจากถูกรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพุ่งชนอย่างรุนแรงลอยไปไกลตกกระแทกกับพื้นถนน


จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสมควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างอันดีงาม แต่จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายมากมายหลายประการ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเบื้องต้น ต้องคำนึงถึงความมั่นคง และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยหาได้คำนึงถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบดังกล่าวแต่อย่างใด


ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายประการ แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจว่าการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่จำต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ได้ หน้าที่กระทำตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของประชาชนธรรมดาทั่วไป การกระทำของจำเลย ยังทำให้ประชาชนทั่วไปหลงผิดเข้าใจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้ใส่ใจอบรมบุคคลากรของตน ให้คำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นที่ตั้งเท่าที่ควร


จึงเห็นว่า โทษที่ 'ศาลชั้นต้น' ลงแก่จำเลยมานั้นเบาเกินไป ไม่เหมาะสม และไม่ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของการกระทำความผิดของจำเลย และอัตราโทษที่กำหนดโดยกฎหมาย มิฉะนั้นคงไม่มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดในฐานนี้ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ที่จะลงโทษหนักกว่านี้ได้ สมควรลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้น กำหนดโดยไม่รอการกำหนดโทษ และรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างทำให้สังคมมีความสงบ และมั่นใจในความปลอดภัยในการข้ามถนนบริเวณทางม้าลายสำหรับความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และความเดือดร้อนของผู้อื่น


เห็นควรให้วางโทษจำคุก 2 เดือน สำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท เห็นควรวางโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และเมื่อกำหนดโทษจำคุกจำเลยใหม่ โดยไม่รอการลงโทษจำคุก ซึ่งนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดของจำเลยแล้ว จึงไม่กำหนดโทษปรับในความผิดดังกล่าวอีก


ภายหลังเกิดเหตุ จำเลยมิได้หลบหนี และให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาของศาลตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีพยานหลักฐานหนักแน่นหรืออาจเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานดังที่โจทก์ร่วมทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ยังคงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น


พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอตภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นจำคุก 2 เดือน ความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น คงจำคุก 1 เดือน ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงจำคุก 5 ปี เมื่อรวมกับโทษปรับในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 5 ปีเดือน และปรับ 4 พันบาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.


สำหรับความคืบหน้า วานนี้ (16 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส.ต.ต.นรวิชญ์ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 3 เเสนบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญาพิจารณาคำร้องเเล้วเห็นควรส่งศาลฎีกาพิจารณาประกัน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ระหว่างรอคำสั่งจากศาลฎีกา

------------------

วานนี้ (16 ม.ค. 67) ทีมข่าวสอบถาม นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล คุณพ่อ ของ พญ.วราลัคน์ (หมอกระต่าย) เปิดเผยว่า


หลังจากฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เห็นชัดเจนจากการคำบรรยายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว ก็ดูว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะว่าการกระทำความผิดของจำเลย อันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก โดยเฉพาะเป็นข้าราชการตำรวจด้ว ควรจะธำรงค์ไว้ถึงระเบียบวินัย เป็นแบบอย่างกับประชาชน 


แต่ครั้งนี้ ศาลเห็นว่าเป็นตำรวจ แต่ทำผิดเสียเองเหตุ และที่ทำผิดก็เป็นเหตุที่ร้ายแรงมาก ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน ศาลจึงลงโทษตามความเหมาะสม


ส่วนเรื่องค่าปรับ 200,000 บาท ศาลให้เหตุผลว่า เหตุที่เพิ่มโทษจำคุกแล้วก็เหมาะสมแล้ว พ่อกับแม่ไม่ได้ติดใจอะไรตรงส่วนนี้ รวมไปถึงเรื่องการฎีกานั้น ทางคุณพ่อคุณแม่ได้ปรึกษากับทนายแล้วว่าเ ป็นบทบทลงโทษที่สมเหตุสมผลแล้วไม่คิดจะฎีกาต่อ


ส่วนคดีแพ่ง ผ่านขั้นตอนการสอบพยานโจทก์ และจำเลย ไปเมื่อปลายเดือนธันวาที่ผ่านมา


ตอนนี้ อยู่ในกระบวนการรอแถลงปิดคดี และรอกำหนดฟังคำพิพากษาประมาณปลายเดือนมีนาคม โดยในคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นค่าชดเชยอุปการะพ่อแม่เป็นเงินจำนวน 72 ล้านบาท


สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คุณพ่อมองว่าเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคมซึ่งศาลชี้ให้เห็นว่าเป็น “เรื่องความผิดที่ร้ายแรงที่เป็นเจ้าหน้าที่แล้วทำผิดเสียเอง แล้วก็ไม่รอกำหนดโทษ หรือรอลงอาญา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะให้ความสนใจ และจดจำ และระมัดระวังไม่ให้กระทำผิด เพราะเป็นแบบอย่างให้เห็นแล้ว” เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้ถนน โดยเฉพาะการใช้ทางม้าลายอย่างปลอดภัย


ส่วนตัวคุณพ่อเอง ใช้รถใช้ถนนหลังเกิดเรื่องมา ก็พบว่าทางม้าลายหลาย ๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น บางจุดก็เป็นสีแดงชัดเจน บางจุดก็ใหญ่ขึ้น แต่พฤติกรรมการหยุดรถให้คนข้ามถนนก็ยังเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก คิดว่าคงต้องใช้เวลา และนโยบายที่ชัดเจน หรืออาจจะกำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาล หรือบังคับใช้กฎหมายในการขับขี่


เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาครอบครัวทำใจได้หรือยัง คุณพ่อตอบว่าจนถึงตอนนี้ ตัวคุณพ่อเองยังทำใจไม่ได้ รู้สึกเสียใจตลอดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ และร้องไห้ทุกวัน เพราะคิดถึงลูก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันรวดเร็วมาก

---------------



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/i5mPEqEiILY









คุณอาจสนใจ

Related News