สังคม

ศูนย์จีโนมฯ จับตา 'โอมิครอน JN.1' เตือนไทยเตรียมรับมือ หลังระบาดเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ

15 ม.ค. 2567

451 views

วานนี้ (14 ม.ค. 67) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผ่านเพจ Center for Medical Genomics ให้เตรียมพร้อมกับเชื้อโควิด โอมิครอน JN.1 ที่คาดว่า จะระบาดเข้ามาแทนที่ EG.5.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศไทยในขณะนี้


ทั้งนี้ข้อความระบุว่า เตรียมพร้อมเผชิญกับโอมิครอน JN.1 ที่มีการกลายพันธุ์บริเวณหนามเพิ่มเติมจาก 1 ตำแหน่ง กลายเป็น 2 ตำแหน่ง ในรูปแบบ “SLip (L455S+F456L)”


ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมโควิด-19 ทั้งจีโนมที่แชร์บนฐานข้อมูลโควิด-19 โลก “จีเสด (GISAID)” โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และเครือข่ายสถาบันการแพทย์ต่างๆพบว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์ EG.5.1* ประมาณ 244 ราย และ JN* ประมาณ 15 ราย คาดว่า JN จะระบาดเข้ามาแทนที่ EG.5.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักของไทยในขณะนี้


โอมิครอนในสายของ EG.5.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณหนาม 2 ตำแหน่งติดกัน คือ “L455F” และ “F456L” มักเรียกการกลายพันธุ์แบบนี้ว่า “FLip” ส่งผลต่อความสามารถของไวรัสในการจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ได้ดีขึ้น พร้อมกับหลบเลี่ยงการเข้าจับและทำลายจากแอนติบอดีที่ผลิตโดยระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จากการรับการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อตามธรรมชาติ


อนึ่ง การกลายพันธุ์บริเวณหนามของ L455F หมายถึง มีการแทนที่กรดอะมิโนลิวซีน (L) ด้วยฟีนิลอะลานีน (F) ที่ตำแหน่ง 455 ในขณะที่การกลายพันธุ์ของ F456L เกี่ยวข้องกับการแทนที่ของฟีนิลอะลานีน (F) ด้วยลิวซีน (L) ที่ตำแหน่ง 456


โอมิครอนในสายของ JN* เดิมมีการกลายพันธุ์บริเวณหนาม “เพียงตำแหน่งเดียวคือ L455S” แต่ก็ส่งผลให้มีการระบาดไปทั่วโลกและเข้ามาแทนที่ EG.5.1 ซึ่งเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของ XBB ในสหรัฐอเมริกา JN.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลัก ร้อยละ 61.6 ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่ระบาด (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มกราคม 2567) จากนั้นในเดือนมกราคม 2567 เช่นเดียวกันพบ JN (JN.1, JN.1.1, JN.1.1.1) มีการกลายพันธุ์เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่งรวมเป็น 2 ตำแหน่ง คือ L455S และ F456L พบผู้ติดเชื้อรายแรกในฝรั่งเศส ขณะนี้พบแล้วทั่วโลกจำนวน 41 ราย เรียก


การกลายพันธุ์แบบนี้ว่า “SLip” ยังไม่แน่ชัดว่าสายพันธุ์ JN ที่พบการกลายพันธุ์แบบ SLip mutation จะส่งผลให้มีการระบาดที่รวดเร็วและเจ็บป่วยรุนแรงเพิ่มขึ้นไปจาก JN.1 สายพันธุ์เดิมที่ส่วนหนามมีการกลายพันธุ์เพียงตำแหน่งเดียว (L455S) หรือไม่

----------------

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโควิด ตามการคาดการณ์ที่จะมีการระบาดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานว่า ช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังพบสายพันธุ์ย่อยทั้ง XBB และ EG.5 ขณะที่สายพันธุ์ย่อย JN.1 สายพันธุ์รุ่นลูกของโอมิครอนกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  


ทั้งนี้ ข้อมูลผู้ป่วยโควิดที่ติดเชื้อ JN.1 มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีน้ำมูกร่วมด้วยได้ ซึ่งยังไม่พบว่า มีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดิมในปีที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยยังมียาและเวชภัณฑ์สำรอง รวมทั้งจำนวนเตียงที่เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรง คำแนะนำสำหรับประชาชน เน้นการป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากขณะอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนรวมกันจำนวนมาก
----------------

ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซระบุว่า


แถลงการณ์ร่วมต่อสถานการณ์อาการ Long Covid-19 และผลกระทบจากวัคซีน


เนื่องในโอกาสที่ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงนามความร่วมมือทางด้านวิชาการและการวิจัยร่วมกับวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตในวันนี้ จึงเห็นสมควรที่จะต้องแจ้งถึงสถานการณ์ในเรื่องภาวะลองโควิด-19 และผลกระทบต่อวัคซีนโควิด-19 ต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้


ประการแรก จากการที่มีประชาชนชาวไทยและทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากภาวะต่อเนื่องหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 หรือได้รับผลกระทบจากการได้รับวัคซีนในหลายมิติ เป็นผลทำให้มีประชาชนกลุ่มดังกล่าวเสียชีวิต หรือมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอลง หรือส่งผลต่อคุณภาพชีวิตแย่ลง เป็นเรื่องที่เป็นความจริงทั้งสิ้น


ประการที่สอง อาการที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อต่างๆ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึงการนอนหลับที่ผิดปกติ หลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง


ประการที่สาม มีขบวนการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบและเสียชีวิตจากวัคซีนทำให้ตัวเลขการรายงานผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนต่ำกว่าความเป็นจริง รวมถึงการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารจากโซเชียลมีเดียและแอพลิเคชั่นในหลายระบบ ทำให้มีประชาชนอีกจำนวนมากยังไม่ทราบว่าตัวเองได้รับผลกระทบจากวัคซีน จึงทำให้ไม่สามารถหาแนวทางการรักษาตัวเองที่ถูกต้องได้  


ในขณะเดียวกัน“กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์” ได้รวมตัวกันนำเสนอรายงานสถิติการเสียชีวิตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (excess deaths) ในปี 2565 และ ปี 2566  ทั้งๆที่เป็นช่วงที่โรคโควิด-19ได้หยุดการระบาดไปแล้ว  โดยสถิติอัตราการเสียชีวิตของคนไทยในปี 2565 และ 2566 นั้น สูงเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงก่อนการเกิดโรคระบาด และมากกว่าช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการสืบสวนการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้น มีสัดส่วนอันเนื่องมาจากผลกระทบของวัคซีนมากเพียงใด


เพราะในรายงานการวิจัยสถิติในต่างประเทศพบว่า  มีผู้ที่เสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19 จริง และในผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด  ระบบทางโลหิตวิทยา ระบบทางเดินหายใจ หรือหลายระบบพร้อมกัน และมีการประเมินว่าการตายจากวัคซีนที่รายงานเข้าในระบบ VAERS  (Vaccine Adverse Event Reporting System) ของสหรัฐอเมริกาต่ำกว่าความจริงกว่า 20 เท่าตัว


ประการที่สี่  ผลการติดตามเบื้องต้นของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่  คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ร่วมกับภาควิชาอายุรศาสตร์และสาขาประสาทวิทยาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบข้อมูลจากการติดตามผลของผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งจากโรคโควิด-19 ในผู้ที่ฉีดวัคซีนในประเทศไทยเกือบ 100 รายในระยะเวลา 1 ปี พบค่าการอักเสบและโปรตีนที่แสดงให้เห็นว่าเกิดภาวะสมองเสื่อม ทั้งที่ยังไม่มีอาการและมีอาการแล้ว หรือแม้แต่ยังมีร่องรอยภาวะโรคสมองเสื่อมดำเนินต่อไปหากมีปัจจัยกระตุ้นแม้จะมีอาการป่วยดีขึ้นแล้วก็ตาม  ซึ่งจะสร้างปัญหาต่อประชากรกลุ่มนี้ต่อไปในอนาคต หากไม่รู้ตัวหรือไม่ได้หาหนทางในการป้องกันหรือเยียวยาเพื่อลดความเสี่ยงลงด้วยคำแนะนำอย่างถูกต้อง


ประการที่ห้า  นักวิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เผยแพร่รายงานเอาไว้ในวารสาร Nature Scientific Report เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2566 ได้กล่าวถึงประเด็นการฉีดวัคซีนหลังเข็มที่ 3 ว่าอาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันชนิด T-Cell หมดแรง นั่นหมายความว่าการฉีดวัคซีนมากเกินไปอาจทำให้ร่างการมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงได้


ประการที่หก  สำหรับประชาชนที่สงสัยว่าสุขภาพร่างกายของตัวเองอ่อนแอลงไม่หมือนเดิม อันเนื่องมาจากภาวะลองโควิด-19 หรือไม่ หรือสงสัยว่าจะได้รับผลกระทบจากวัคซีนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ จะทำการสร้างเครือข่าย รับข้อมูลจากประชาชน


ประการที่เจ็ด สำหรับแนวทางการรักษาทั้งจากภาวะลองโควิด-19 หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนในปัจจุบัน ได้มีการดำเนินการรักษาอยู่แล้วทั้งในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์ทางเลือก ธรรมชาติบำบัด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การใช้สมุนไพร และตำรับยาตลอดจนหัตถการทั้งการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน ซึ่งวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะรวบรวมกรรมวิธีการเยียวยาและรักษา ทำการวิจัย และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบในโอกาสต่อไป


ทั้งนี้ขอเรียนเชิญแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้าน เภสัชกรผู้รักชาติทั้งหลาย ได้ร่วมกันระดมเสนอหนทางจากประสบการณ์ตรงและให้ข้อมูลการช่วยเหลือและรักษาผู้ที่เป็นภาวะลองโควิด-19 และผู้ที่ได้รับผลกระทบของวัคซีน เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุดอย่างเป็นระบบและเข้าสู่เป็นงานวิจัยต่อไป


ประการที่แปด นอกจากขบวนการปกปิดข้อมูลแล้ว สังคมไทยควรตระหนักถึงความเสี่ยงอันตรายและรู้เท่าทันความเสี่ยงจากงานวิจัยในประเทศไทยที่สนับสนุนโดยทุนต่างชาติเพื่อหาหนทางการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสจากค้างคาวเพื่อให้กลายเป็นเชื้อไวรัสในมนุษย์ อาจกลายเป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนบางกลุ่มที่ต้องการแสวงหาผลกำไรและความมั่งคั่งจากทำให้เกิดการแพร่ระบาดโรคระบาดสร้างความเสียหายต่อประชาคมโลกต่อไปในอนาคต และเห็นว่าสถาบันวิชาการในประเทศไทยควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของกลุ่มทุนต่างชาติ


สุดท้ายนี้สถานการณ์ปัญหาจากภาวะลองโควิด-19 และภาวะผลกระทบของวัคซีน จะต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริง  การเปิดเผยความจริงในประโยชน์และความเสี่ยงตลอดจนผลกระทบอย่างรอบด้านเท่านั้น จะทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนในการตัดสินใจและสร้างความตระหนักต่อความเสี่ยงการรับวัคซีนและไม่รับวัคซีนในอนาคต   รวมถึงทำให้ประชาชนได้รับรู้เพื่อตระหนักและรีบตรวจคัดกรองความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดอันตรายในผลกระทบต่างๆ  เพื่อทำให้เกิดการแสวงหาและรวบรวมหนทางในการฟื้นฟูสุขภาพหรือรักษาประชาชนอย่างถูกต้องต่อไป และจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลในฐานะผู้ที่สนับสนุนและรณรงค์การใช้วัคซีนมาโดยตลอด ต้องให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนอย่างเต็มที่และรวดเร็วต่อไปด้วย


แถลงโดย 


ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


และ


อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

-----------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/MVGzKkIQnOs

คุณอาจสนใจ