สังคม
แฉเสี่ยเบนท์ลีย์ เป็นนายทุนให้พรรคดัง กู้ภัยเปิดคลิปเผ่นหนีขึ้นแท็กซี่กับสาว ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์
โดย thichaphat_d
9 ม.ค. 2566
43 views
คู่กรณีเผยเสี่ยเมาควบรถหรูเบนท์ลีย์ ย่องลงจากทางด่วนขึ้นแท็กซี่เผ่นหนีกับหญิงสาว ไม่ยอมให้เป่าแอลกอฮอล์ หลังชนรถชาวบ้าน-รถดับเพลิง ก่อนถูกอาสาสมัครขับรถตามลากตัวไปโรงพัก แถมยังบ่ายเบี่ยงเข้าห้องน้ำหวังหนีอีกรอบ ด้าน ตร.เผยรอผลตรวจเลือดอย่างเป็นทางการก่อนฟันข้อหาหนัก
ด้านผู้เสียหายหวั่นผู้ก่อเหตุหลุดคดี หลังพบเป็นนายทุนพรรคการเมืองใหญ่ ทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ล่าสุดยอมชดใช้ซื้อรถดับเพลิงให้คู่กรณีใหม่ 1 คัน หลังพบไฟไหม้จริงย่านสุขุมวิทติดค้างภายใน 3 ราย
ขณะที่เจ้าของปาเจโรคู่กรณีถูกรถหรูซิ่งชน เพิ่งซื้อรถมา 21 วัน โดนชนยับ เผยนาที 6 ชีวิต รอดตายหวุดหวิด เกือบไม่ได้เห็นหน้าพ่อ-แม่ ชี้กำลังเดินทางไปเยี่ยมหลังไม่ได้เจอหน้าหลายปี ใช้แต้มบุญสูงมาก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ โชคดีทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย หลังเกิดยังไม่ได้พูดคุยกับคู่กรณี จนถึงขณะนี้เสี่ยเบนท์ลีย์ ยังไม่ติดต่อกลับมา
จากกรณี กลางดึกของคืนวันที่ 7 ม.ค. เวลาประมาณ 00.30 น. ต่อเนื่องวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเบนท์ลีย์ สีเทา ขับมาด้วยความเร็วสูง แซงซ้ายแล้วเบี่ยงขวา ก่อนจะพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สีดำ ที่วิ่งอยู่เลนกลาง มีผู้โดยสารมากันทั้งครอบครัว รวม 6 คน โดยมีเด็กชายอายุ 4 ขวบ นั่งมาด้วย จนปาเจโรเสียหลัก หมุนพุ่งชนขอบทางติดช่องทางขวาสุด
ซ้ำมีรถดับเพลิงอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยมัสยิดฮารูณ 2 ราย ที่กำลังมุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้ติดค้างเหตุเพลิงไหม้ ต้องเบรกกะทันหัน จนพุ่งชนปาเจโร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย และรถยนต์คู่กรณีได้รับความเสียหาย ทั้งนี้คนขับเบนท์ลีย์คล้ายเมาสุรา
เหตุเกิดบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร จากถนนสุขสวัสดิ์มาประมาณ 9-10 กม. มุ่งหน้าดินแดง โดยกล้องหน้ารถคันอื่น จับภาพเหตุการณ์ไว้ได้
สำหรับเหตุการณี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 6 คน โดยเป็นผู้โดยสารของปาเจโร (4 คน) และรถดับเพลิง (2 คน) ส่วนคนขับเบนท์ลีย์และผู้โดยสารปลอดภัย
-------------
สำหรับผู้ขับขี่เบนท์ลีย์ มีรายงานว่าคือ นายสุทัศน์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซื้อขายที่ดิน ทำตลาดสด และขายวัสดุก่อสร้าง ทั้งนี้ เคยเป็นข่าวว่า เป็นนายทุนให้กับพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง
หลังเกิดเหตุข ณะที่ทีมอาสาสมัครกำลังเดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ เมื่อมาถึงบริเวณทางขึ้นทางด่วน ก็พบกับตัวชายคนขับเบนท์ลีย์พร้อมหญิงสาว พากันขึ้นรถแท็กซี่ คล้ายกับต้องการหลบออกจากจุดเกิดเหตุ ทั้งที่ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทางตำรวจ
ทำให้กลุ่มอาสาสมัครต้องช่วยกันล้อมรถแท็กซี่ และบันทึกคลิปเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะพาตัวมาที่ สน.ทางด่วน 1 ระหว่างนั้น กลุ่มอาสาสมัครได้พูดบรรยายขณะบันทึกภาพว่า น่าจะมีอาการคล้ายคนเมา ทำให้ชายคนขับเบนท์ลีย์ พูดสวนทันทีว่า “ไม่เมาครับ”
ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะมีการเจรจากันในเบื้องต้น เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหาย และมีการลงบันทึกประจำวัน ว่าจะชดใช้รถดับเพลิงคันใหม่ให้ พร้อมอุปกรณ์ที่เสียหาย
-------------
ทีมข่าวลงพื้นที่ รถยนต์ของกลางในคดีรวม 3 คัน ถูกจอดเก็บรักษาไว้ที่ศูนย์เก็บรถอุบัติเหตุ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จุดจอดรถของกลางของสถานีตำรวจทางด่วน 1
จากการตรวจสอบสภาพความเสีย พบเบนท์ลีย์เสียหายที่ไฟหน้าฝั่งขวา ช่วงฝากระโปรงพังยับ สปอยเลอร์กันชนหน้าหลุด และพบถุงลมแอร์แบ็กทำงานปกติทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งข้าง ภายในรถมีขวดไวน์ตกอยู่ 1 ขวด บริเวณเบาะผู้โดยสารตอนท้าย
ส่วนปาเจโร่ สีดำ ด้านฝากระโปรงหน้ายุบหายไปครึ่งคัน กระจกหน้าแตก ส่วนรถดับเพลิง บริเวณช่วงฝากระโปรงและกันชนหน้ารถพังยับเยิน
นายศราวุธ รีรักษ์ ผู้ขับปาเจโร เล่าเหตุการณ์ว่า ออกจากบ้านพักย่านทุ่งครุ ขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าลงดินแดง เพื่อจะกลับบ้านที่จังหวัดบึงกาฬ ขณะอยู่บนทางด่วน ได้ขับในเลนกลางมาตามปกติ ใช้ความเร็วประมาณ 90 กม./ชม.
จากนั้น รู้สึกโดนกระแทกแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก มาเห็นเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถที่มีคนส่งมาให้ ในรถที่นั่งกันมาทั้งหมด 6 คน เป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็กอายุ 4 ขวบ 1 คน
หลังเกิดเหตุรถพลิกคว่ำ ก็พยายามตั้งสติให้ได้ และช่วยกันพาทุกคนออกมาจากรถให้ได้ก่อน ทั้งนี้ ยังไม่ได้พูดคุยกับคู่กรณี จนถึงขณะนี้ ทางผู้ขับเบนท์ลีย์ ก็ยังไม่ติดต่อกลับมา
นางสาวณิชชาวีร์ แฟนสาวผู้ขับปาเจโร ซึ่งนั่งมาในรถคันเดียวกัน กล่าวว่า ที่รอดมาได้เป็นเพราะทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย โดยแฟนเป็นคนขับรถ มีพ่อนั่งด้านข้างคนขับ ได้รับบาดเจ็บแขนหัก ถัดมาเป็นแม่ หลานชาย ตนนั่งอยู่แถวที่สอง ส่วนน้องสาวนั่งอยู่ด้านหลัง และมีสัมภาระอีกไม่เยอะ จำพวกที่นอน
ส่วนของที่เหลือได้จัดไว้ด้านบนเพราะจะเดินทางไกลไปต่างจังหวัด เนื่องจากตนไม่ได้เจอพ่อแม่มาหลายปีแล้ว ตนจึงตั้งใจจะออกรถ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 เพื่อจะนำรถกลับไปให้ครอบครัวดู เหมือนเราแบกความฝันกลับบ้าน และขณะนั้นครอบครัวทั้งหมดอยู่ในรถ ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในรถกันชิลๆ สบายๆ จังหวะชนตึง เหมือนรถจะหลุดออกจากทางด่วน เพราะรถได้ปีนเกยขึ้นขอบแบริเออร์แล้ว
จากนั้น มีรถกู้ภัยมาชน จนรถหมุนอยู่หลายรอบ หากไม่มีรถกู้ภัยมาชนอีกต่อหนึ่ง รถตนคงตกทางด่วนไปแล้ว ตนจึงเอามือจับหลานไว้ เมื่อทุกอย่างนิ่ง จึงอุทานด้วยคำไม่สุภาพออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็พยายามเช็ก เรียกทุกคนว่ายังอยู่ไหม โชคดีที่หลานหลับ เขาจึงไม่ร้อง เมื่อตั้งสติได้ ก็พากันปีนคลานออกมาด้านหลังตรงประตู เพราะกระจกแตกไปแล้ว
นางสาวณิชชาวีร์ กล่าวต่อว่า เห็นคลิปแล้ว ตัวเองยังคิดเลยว่าใช้แต้มบุญสูงมาก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ รอดมาได้อย่างไร โชคดีที่ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งนี้ ที่สถานีตำรวจ คู่กรณีไม่ยอมเป่า หรือตรวจแอลกอฮอล์ ตนก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม กลุ่มพี่ๆ กู้ภัยพยายามให้เขาเป่า แต่เขาปฏิเสธที่จะไม่เป่า พยายามที่จะไปดื่มน้ำ เคี้ยวหมากฝรั่ง เขาคงหาทางแก้ปัญหาของเขา ตนไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไร ถึงไม่ยอมเป่า ทางตำรวจแจ้งว่า เขาขอตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ
เบื้องต้นคาดว่า ผลตรวจจะออกอย่างเร็วใน 7 วัน และไม่ทราบว่าระหว่างนี้ จะมีกระบวนการอะไรหรือไม่ เท่าที่ทราบ รถคู่กรณีไม่มีประกัน ส่วนประกันฝั่งเรา ยังไม่ตกลงกันว่าจะเคลมคันใหม่ให้หรือไม่ เพราะรถตนพึ่งออกมาได้เพียง 21 วัน ตนไม่รู้ว่าเขาจะรับผิดชอบให้เราได้ 100 เปอร์เซ็นหรือไม่ ส่วนเราต้องการรถคันใหม่ และการเยียวยาร่างกายและจิตใจ เพราะพ่อก็แขนหัก การเยียวยาจะต้องรอการพูดคุยกันของทุกฝ่าย
ขอวิงวอนคนที่มีรถหรู คุณมีอำนาจเงินหนูทราบ คุณมีสิทธิ์ซื้อรถที่มีคุณภาพดี อัตราเร่งสูง ความเร็ว ความแรงอะไรก็ตาม แต่อย่าให้ถนนของสาธารณะเป็นที่ประลอง หรือขับรถที่ความเร็วเกินจำเป็น ไม่ใช่เฉพาะคุณบนท้องถนน มันคือชีวิตของคนอื่น คุณก็มีครอบครัวเราก็มีครอบครัว
วันนั้น เรานั่งมากัน 6 คน ถ้าเราไม่อยู่วันนี้ คนที่เหลืออยู่ก็เคว้ง พ่อแม่หนูรอเตรียมต้อนรับเราที่บึงกาฬ เราหดูหู่ใจ เซ็ง และเคว้ง ไปไม่ถูก หวังว่าเขาจะรับผิดชอบเราอย่างเต็มที่
อีกมุม นางสาวณิชชาวีร์ สะท้อนว่า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การคาดเข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตได้จริงๆ การเลือกรถที่มีถุงลมนิรภัยเยอะๆ ก็ช่วยได้จริงๆ
นางสาวณิชชาวีร์ ยังได้โพสต์ภาพ ขณะที่สื่อมารอสัมภาษณ์อยู่หน้าบ้าน พร้อมข้อความว่า อย่างน้อยก่อนตาย ก็ได้สานฝันออกทีวี ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนทุกท่าน ที่เป็นกระบอกเสียง ให้เสียงเล็ ๆ ได้บอกเล่าความจริง
พี่นักข่าวถามว่า " รู้ไหมว่าคู่กรณีเป็นใคร?" "รู้ค่ะ" "ไม่กลัวหรอ?" "กลัวทำไมคะ เมื่อคืนก็เท่ากับหนูได้ตายไปแล้ว ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูอีก มันก็ค่าเท่ากัน ขอตายแบบมีศักดิ์ศรีหน่อยจะดีกว่า"
-------------
ทีมข่าวได้คุยกับ นายอิทธิพล อายุ 35 ปี ผู้ขับรถดับเพลิงของอาสาสมัครฐานฮารูน บางรัก เล่าว่า ขณะนั้น ตนเองอยู่ระหว่างการเดินทางนำอุปกรณ์ ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ภายในอาคาร ไปสนับสนุนเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่อุดมสุข
ซึ่งตนเองได้ออกจากฐาน ย่านบางรัก จะไปขึ้นด่วนที่ด่านสาธร เมื่อมาถึงช่วงทางโค้งจุดเกิดเหตุ ใกล้เคียงกับโรงเรียนนนทรี ตนเองขับอยู่ที่เลนขวา สังเกตเห็นว่ารถหรูขับแซงขึ้นทางซ้าย และพยายามปาดเข้ามาที่ช่วงเลนกลาง จึงมาพบกับปาเจโรที่ขับอยู่เลนกลาง ทำให้รถหรูพุ่งชนท้ายปาเจโรอย่างแรง ก่อนที่ปาเจโรจะเสียหลักหมุนขวางถนนมาที่เลนขวา ทำให้ตนเองไม่สามารถเบรกได้ทัน เพราะเป็นระยะกระชั้นชิด และตัวรถของตนเองมีน้ำหนักมาก ทำให้รถของตนเองพุ่งชนเข้าบริเวณด้านข้างของปาเจโร ทำให้รถปาเจโร่หมุนกลิ้งจากเลนขวาข้ามไปยังเลนซ้ายสุด
เหตุการณ์ดังกล่าว แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่ก็ตกใจ ถือว่าเป็นอุบัติเหตุรุนแรงที่ส่วนตัวยังไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนรถหรูคันที่เป็นต้นตอของอุบัติเหตุในครั้งนี้ ก่อนหน้ามาถึงจุดเกิดเหตุ ไม่ได้สังเกตว่าขับขี่มาในทิศทางใด ไม่ทราบว่าเหตุใดรถหรูคันดังกล่าวถึงแซงซ้าย และพยายามปาดมาลที่เลนขวา
หลังเกิดเหตุ ตนเองก็เดินทางไปรักษาร่างกายพร้อมกับเพื่อน ที่นั่งอยู่บริเวณเบาะหน้า ในจุดเกิดเหตุ ตนสังเกตเห็นว่า ชายที่ขับเบนท์ลีย์ อยู่ในอาการคล้ายมึนเมา ไม่พูดจากับใคร ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือ
-------------
พันตำรวจโท พิเชษฐ์ ก้อนแพง รองผู้กำกับการ (สอบสวน) งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. เปิดเผยว่า ทางผู้ขับขี่เบนท์ลีย์ ยอมรับผิด และยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีทั้งหมด และจะซื้อรถดับเพลิงให้ใหม่จำนวน 1 คันอีกด้วย
โดยได้ทำบันทึกประจำวันไว้ และส่งตัวผู้ขับขี่ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นการตรวจที่ได้มาตรฐาน
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมีทางฝั่งปาเจโร บาดเจ็บทุกคน หนักสุดแขนหัก อยู่ระหว่างการรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนการเจรจาไกล่เกลี่ย มีทนายของฝั่งปาเจโรได้ติดต่อเข้ามาแล้ว
ขณะนี้ ต้องรอให้ผู้บาดเจ็บรักษาอาการให้หายดีเสียก่อน และจะต้องรอผลตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ ยืนยันจากโรงพยาบาลตำรวจ อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.พ.2566 ขณะนี้จึงยังไม่ได้แจ้งข้อหา เนื่องจากต้องรอผลตรวจยืนยันจากแพทย์ และรอฝั่งผู้เสียหายรักษาอาการบาดเจ็บ ก่อนพิจารณาแจ้งข้อหาต่อไป
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/tA7ni9BLy-Q