สังคม

แม่ ร้อง ถูกเจ้าของหอแจ้งความลักทรัพย์ หลังลูก 7 ขวบ หิ้วถังน้ำ ออกมาขณะย้ายที่อยู่

โดย parichat_p

4 ก.ย. 2567

513 views

แม่ลูก 4 ร้องมูลนิธิดังถูกแจ้งจับลักทรัพย์หลังลูกชายวัย 7 ขวบ เดียงสาหิ้วกระแป๋งน้ำราคา 45 บาทขณะย้ายห้องเพราะค้างค่าเช่า


วันนี้ (4 ก.ย. 67) มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี น.ส.กิ๊ก อายุ 39 ปี แม่ลูก 4 พร้อมน้องเอ 14 ปี น้องบี 7 ขวบ และน้องซี วัย 3 ขวบ โดยแม่กิ๊กหอบลูกกระเตงเดินทางมาร้องเรียนที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม


ซึ่งแม่กิ๊กขอความช่วยเหลือหลังถูกเจ้าของห้องเช่าแจ้งจับข้อหาลักทรัพย์ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องและย้ายออกไป ซึ่งตอนย้ายออกนั้นลูกๆช่วยกันขนของออกมาซึ่งมี กระแป๋งน้ำ ราคาแค่ 45 บาท โดยน้องบีลูกชายวัย 7 ขวบ หิ้วมาด้วยความที่ยังเด็กไร้เดียงสา ทำให้เจ้าของห้องเช่า ซึ่งเป็นสาวประเภทสองไปแจ้งความกับตำรวจ สภ. ปากคลองรังสิต จังหวัดปทุมธานี หาว่าตนเองลักทรัพย์ กระแป๋งน้ำ ราคา 45 บาท และของอื่นๆ อีก 2 รายการ ซึ่งตนไม่ได้หยิบอะไรมาเลย แต่กลับถูกแจ้งความลักทรัพย์ 3 รายการ



แม่กิ๊ก เล่าด้วยเสียงเศร้าว่า ปัจจุบันตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เคย ขายลูกชิ้นปิ้งแต่ได้หยุดขายมาหลายปีเนื่องจากผ่าตัดหัวเข่า ตนมีลูกชายคนโต อายุ 19 ปี แล้วก็ลูกๆอีก 3 คนที่นำมาด้วยวันนี้ เมื่อหลายปีก่อนลูกคนโต ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเลี้ยงครอบครัว ถูกกลุ่มวัยรุ่น 8 คนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทางตำรวจจับตัวกลุ่มวัยรุ่นได้ทั้งหมด มีการเยียวยาเจรจาโดยทั้ง 8 คน ยินดีชดใช้ให้กับลูกชาย คนละ 625 บาทต่อเดือน เป็นเงิน 5,000 บาท สุดท้ายก็ไม่มีการชดใช้เงินให้ ตามที่ตกลง ทำให้ตนขัดสนทางการเงิน ถูกเจ้าของห้องเช่าแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นสาวประเภทสอง บอกให้ตนเองกับลูกๆย้ายออกไป เนื่องจากค้างค่าเช่า 1 เดือน เป็นเงิน 1,000 บาท



ต่อมาตนได้ย้าย ออกจากห้องเช่าไป หลังได้เช่าอยู่ 5 เดือน จู่ๆก็มีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนสภปากคลองรังสิตจังหวัดปทุมธานีโดยกล่าวหาว่าตนลักทรัพย์ให้ไปพบพนักงานสอบสวน ตนไม่มีเงินแม้กระทั่งค่ารถที่จะไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ตัดสินใจขายหม้อหุงข้าวไปในราคา 300 บาทเพื่อเป็นค่าเดินทาง และถูกจับพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ให้เอากระแป๋งน้ำมาคืน แต่เรื่องก็ไม่ใช่จะจบ


โดยทางเจ้าของห้องเช่า ยังแจ้งอีกว่า ตนขโมยกระจกเงา ยาว 30 * 30 เซนติเมตรจำนวน 1 บาน ราคา 100 บาทและกุญแจ ล็อคตู้ไฟราคา 20 บาท ออมทรัพย์สิน 3 รายการมูลค่า 165 บาท จากห้องเช่าไป ซึ่งตอนยืนยันได้ว่าระหว่างที่เช่าอยู่ ไม่มีกระจกบานดังกล่าวและกุญแจที่ว่า อยู่ในห้องเช่าเลย ส่วนกระแป๋งน้ำ ลูกชาย วัย 7 ขวบ เป็นคนหยิบออกมาจริง เพราะคิดว่า เป็นของตนเอง


ตนอยากขอความเห็นใจจากข้าวห่อห้องเช่าว่า ตนมีฐานะยากจนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แถมลูกชายคนโตก็มาถูกรุมทำร้ายจนปางตาย ทำไมเขาถึงต้องใจดำ กับตนขนาดนี้ ถึงกับแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ แถมยังประจานตนเอง และด่าทอ ในเฟซบุ๊ก ให้กับคนอื่นฟัง ต้นหมดหนทางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว จึงได้ทักไปที่เฟซบุ๊ก ของมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนวานยุติธรรมในสังคม ซึ่งในวันนี้ที่เดินทางมา ตนก็ไม่มีค่ารถ ทางมูลนิธิเป็นคนออกค่ารถให้ตนเองเข้ามา ร้องเรียนขอความเป็นธรรม



ด้าน รองประธานมูลนิธิ กล่าวว่าเคสนี้เป็นเคสที่น่าสงสารผู้ต้องหามาก ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทางมูลนิธิจะประสานและทำเรื่องขอความเห็นใจขอความช่วยเหลือไปที่ทางสำนักอัยการ เพราะดูว่าผู้ต้องหามีเจตนาหรือไม่ กับการที่ถูกผู้เสียหาย แจ้งความข้อหาลักทรัพย์แบบนี้ ที่น่าแปลกใจคือพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กลับมีการออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 สิงหาคม 67


ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรที่หมายเรียกออกในวันเดียวกันพร้อมกันสองใบ ห่างกันแค่ไม่ถึงอาทิตย์และมีการนำหมายเรียกไปให้ผู้ต้องหาถึงบ้านทั้ง 2 ใบ ในวันเดียวกัน แถมยังมีการโทรศัพท์ทวงค่าเช่าห้องกับผู้ต้องหา ให้กับเจ้าของห้องเช่า ทำแบบนี้ถ้าต่อไปมีคดีตำรวจทั่วประเทศไม่ต้องทวงค่าเช่าห้อง แทนผู้เสียหายเหรอ ก็อยากให้ตำรวจมีการสอบปากคำทำคดีให้ละเอียดกว่านี้ ถ้าหาก แม่ลูก 4 รายนี้ไม่ไปพบตำรวจตามหมายเรียกและถูกหมายจับ ในเวลาต่อมา ถึงตอนนั้นคงไม่มีเงินจะประกันตัวสู้คดีต้องติดคุก และลูกๆทั้ง 3 คนที่ยังเล็กจะอยู่กับใคร เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากสำหรับครอบครัวนี้



ขณะที่นายชาญชัย ที่ปรึกษามูลนิธิ กล่าวว่า คดีนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบลึกลงไปถึงรายละเอียดให้มากๆ เพราะผู้ถูกกล่าวหาคือแม่ลูก 4 รายนี้ ก็มีฐานะยากจน เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกหลายคน ลูกชายคนโตก็มาถูกทำร้าย แถมไม่ได้รักการเยียวยาค่าบาดเจ็บ ส่วนเจ้าของห้องเช่าที่แจ้งความดำเนินคดีกับทรัพย์สินที่สูญหายไป ซึ่งเป็นกระแป๋งน้ำใบละไม่กี่สิบบาทส่วนกระจกเงากับกุญแจ ผู้ถูกกล่าวหาก็ยืนยันไม่ได้เอาไปและไม่พบสิ่งของดังกล่าวในห้องตั้งแต่เข้ามาเช่าอยู่ คดีนี้จึงอยากให้ทางพนักงานสอบสวน มีการสอบปากคำบันทึกรายละเอียดผู้ถูกกล่าวหาให้มากก่อนส่งฟ้องไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายอนาคตของครอบครัวของคนที่ด้อยโอกาสอยู่แล้วให้แย่ลงไปกว่าเดิมอีก

คุณอาจสนใจ

Related News