สังคม

เงินเก็บทั้งชีวิตหายในพริบตา! ปู่ 81 เสียรู้แก๊งคอลฯ ตร.เก๊ หลอกโอนเงิน สูญ 22 ล้าน

โดย nut_p

9 มิ.ย. 2567

2.8K views

เก็บมาทั้งชีวิตหายไปในพริบตา ! คุณปู่วัย 81 ปีถูกมิจฉาชีพ อ้างตัวเป็นตำรวจ ติตมคดีความ หลอกโอนเงิน 19 ล้าน ซ้ำให้จำนองบ้านโอนให้อีก 3 ล้าน สูญรวม 22 ล้าน เครียดหนักจนอยากฆ่าตัวตาย



เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 67 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายไพรสัณต์ หรืออ๊อด จันทร์สุริยวงศ์ อายุ 81 ปี อดีตหัวหน้างานด้านวางแผนธุรกิจสายงานด้านเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังถูกมิจฉาชีพใช้กลอุบายตีเนียนหลอกว่าบัญชีของคุณปู่อ๊อดพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ทำให้ตนเองตกใจ หลงเชื่อถูกมิจฉาชีพ ที่ปลอมมาทั้งในรูปแบบของการวิดีโอคอลเป็นตำรวจ โดยให้ทำตามขั้นตอนมิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีหรืออายัดทรัพย์สิน ตนเองหลงเชื่อโอนเงินให้กับมิจฉาชีพเป็นเงินสด 19 ล้านบาท หลังจากหมดตัวแล้วก็ยังถูก มิจฉาชีพใช้อุบายให้เอาบ้านไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้าน รวมทั้งดอกเบี้ยอีก 450,000 บาท โดยให้ผ่อนชำระดอกเบี้ยเดือนละ 37,000 บาท และให้คืนเงินต้น 3 ล้านบาทที่เอาบ้านไปจำนองขายฝากไว้ภายในระยะเวลา 1 ปี หลังได้เงินจากจำนองขายฝากบ้านอีก 3 ล้านบาทตนก็ได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท



นายไพรสัณต์ หรือปู่อ๊อด เล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าที่เกิดขึ้นกับตนเองว่า ภรรยาตนเองเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ตนมีลูกชายพียงคนเดียวชื่อนายนีรนาท หรือโอ๊ด จันทร์สุริยวงศ์ อายุ 43 ปี ทำงานอยู่บริษัทตลาดทรัพย์ที่ประเทศสิงคโปร์ หลังเกษียณอายุแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่เนื้อที่ 83 ตารางวา ที่อยู่ในอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี มาอย่างด้วยดีมีความสุข จนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 67 ช่วงเวลา 14.30 น ได้มีโทรศัพท์เบอร์มือถือ หมายเลข 098- 563 6881 โทรเข้ามาหาตน เป็นชายแนะนำตัวว่าชื่อนายรณฤทธิ์ ชัยวงศ์ รหัสพนักงาน 593108 โดยแจ้งตนว่าตนถูกแอบอ้างนำข้อมูลส่วนตัวไปเปิดบัญชีธนาคารออมสินสาขาอยุธยาพาร์ค โดยมีหมายเลขบัญชี 029-781-899570 ซึ่งได้ถูกตรวจบัญชีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 66 โดยทางธนาคารออมสินได้ติดต่อประสานงานไปยังสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งใบรับรองการแจ้งความมายังธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ภายใน 2 ชั่วโมง



ต่อมาได้มีเบอร์โทรศัพท์เบอร์มือถือหมายเลข 082-717-3028 โดยผู้โทรมาอ้างว่าตนเองชื่อ พันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ รักษกุลวิทยา เป็นสารวัตรงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธพระนครศรีอยุธยา ต้องการสอบปากคำ ตนเอง เนื่องจากได้มีการทุจริตในหน่วยงานราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นวงเงิน 11 ล้าน โดยมีนายเอนก ตันจรารักษ์ ตำแหน่ง สจ. เป็นหัวหน้าขบวนการ และมีผู้ร่วมทุจริตเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ -ผู้น้อยกว่าร้อยคน โดยได้มีการนำเงินจากการทุจริตมาฝากผ่านบัญชีธนาคารออมสินของตนเอง โดยมิจฉาชีพแจ้งว่า ตนเองจะได้เงินผ่านบัญชี 10% ของเงินทั้งหมด และเงินที่อยู่ในบัญชีจะต้องเป็นของกลางในคดีอาญา โดยผู้ที่แอบอ้างเป็นพันตำรวจตรี เห็นว่าตนมีอายุมากแล้ว หากต้องไปให้การสอบสวนที่โรงพักจะลำบาก เลยแนะนำให้ตนทำตามขั้นตอน ผ่านทาง Line



จากนั้นคนที่อ้างตัวเป็นตำรวจรายนี้ได้ บอกกับตนเองว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ มีผู้ร่วมขบวนการเป็นทั้งตำรวจ-ทหาร-ทนายความ รวมทั้งยังได้ส่งรูปคำสั่งจากศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตนเองทั้งหมดโดยให้ถือเป็นความลับถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีก็จะออกหนังสือแสดงความบริสุทธิ์ให้ รวมทั้งจะมีการเยียวยาให้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 67 ได้มีหญิงสาวอ้างเป็นนายตำรวจหญิงชื่อสุพัตรา ได้รับคำสั่งจากสารวัตรกิตติศักดิ์ มาแนะนำขั้นตอน เพื่อให้การตรวจสอบบัญชีง่ายขึ้น โดยให้ตนเปิด E Banking กับธนาคารกรุงไทยและธนาคารกสิกรไทย โดยให้รายงานตัวกับพันตำรวจตรีกิตติศักดิ์ ผ่านทางแชทของ สภ.พระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมิจฉาชีพ บอกให้ตนแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอนเงินทรัพย์สินที่มีอยู่ไปให้ตรวจสอบ เป็นเงินสดจำนวน

19 ล้านบาท รวมทั้งบ้านที่ไปจำนองขายฝากอีก 3 ล้านบาท ที่ตนเองกับภรรยา (เสียชีวิตไปแล้ว) ทำงานเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว



หลังจากนั้น 2 วัน เขาก็ได้ส่งข้อความมาอีกเป็นคำสั่งของ ปปช. ว่าจะเป็นผู้ตรวจทรัพย์สินของตน พร้อมกับส่งรายชื่อข้าราชการระดับ9 และระดับ8 ของ ปปช. มา เขาก็สั่งให้ตนเริ่มโอนเงินโดยจะกำกับการแสดงทุกอย่างเพราะตนก็ใช้สมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น ปรากฏว่า พ.ต.ต.กิตติศักดิ์ ที่อยุธยาจะเป็นคนกำกับการแสดงทั้งหมดทุกขั้นตอนว่าให้ตนโอนเงินอย่างไร เริ่มแรกให้ตนโอนเงินจากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกมาทั้งหมดและให้โอนเข้า บัญชีกรุงไทยและบัญชีกสิกรไทย และให้โอนไปยัง ปปช.ที่ได้อ้างไว้ทั้งหมด พอเสร็จเรียบร้อย วันต่อๆไปพอได้สอบสวนตนไปหมดแล้วและรู้ว่าตนมีบัญชีในตลาดหลักทรัพย์อยู่กับ Broker 2 แห่ง เขาก็สั่งให้ไปขายทั้งหมด2แห่ง พอตนขายเสร็จก็โอนเงินไปให้เขาหลังจากนั้นก็สั่งให้ตนไปขายฝากบ้าน ให้กับผู้ที่เขาแนะนำมาให้ และก็ติดต่อมาที่ตนก็ปรากฏว่ามีคนติดต่อมาจริงๆ และให้ตนไปขายฝากบ้านและที่ดินที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบันคือบ้านเดี่ยวหลังนี้เนิ้อที่ 83 ตารางวา ตนจำนองขายฝากไปในราคา 3 ล้านบาท พร้อมกับดอกเบี้ย 450,000 บาท โดยทำสัญญา1ปี ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนๆละ37,000 บาท หลังจากนั้น 2 วันก็ได้มีไลน์จากตำรวจหญิงที่พูดคุยกับตนบ่อยๆ ให้พูดกับรองผู้กำกับ ที่อยุธยา รองผู้กำกับได้บอกตนว่าทางผู้ตรวจสอบได้ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดแล้วพบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็จะโอนเงินคืนทั้งหมดโดยมีเงื่อนไขอยู่1ข้อ จะต้องเสียเงินอีก 4,200,000 บาท ให้กับทางราชการในการวางค้ำประกัน ทรัพย์สินที่โอนมา โดยบอกว่า พ.ต.ต พนักงานสอบสวน และร้อยเวร จะช่วยใช้ตำแหน่งค้ำประกันให้ครึ่งหนึ่ง 2.2 ล้านบาท และให้ตนไปหาเงินมา 2.2 ล้านบาท ซึ่งตนก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนเพราะหมดตัวแล้ว จึงได้ติดต่อลูกชายคนเดียวคือน้องโอ๊ตไปซึ่งเขาทำงานอยู่ที่ ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ลูกก็เลยเอ๊ะใจ เชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอกจนหมดตัวแล้ว วันรุ่งขึ้นลูกชายตนก็รีบบินกลับมาหาตน และนำข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความที่ สอท.2 เมืองทองธานี "ตนสูญทั้งเงินและกำลังจะสูญบ้าน ใน1ปี และเสียสุขภาพจิตกินไม่ได้นอนไม่หลับ น้ำหนักลดไป 3 กิโลกรัมจนต้องกินยาแทบจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อยากจะฆ่าตัวตาย ก็อยากให้ตำรวจช่วยติดตามเงินและบ้านที่เสียไปกลับคืนมาให้ตนด้วย" คุณปู่อ๊อดกล่าวเสียงสั่นเครือ



ขณะที่นายนีรนาท หรือโอ๊ต ลูกชายเพียงคนเดียว เปิดเผยว่า ตนรู้สึกโมโหและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ทำไมถึงมาหลอกลวงกันได้ขนาดนี้เอากันให้หมดตัวเลย พอตนได้รู้ตนก็รีบบินกลับมาจากสิงคโปร์ทันที เพื่อมาช่วยพ่อรวบรวมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ และไปแจ้งความที่ สอท. ก็อยากขอร้องพวกคอลเซ็นเตอร์ว่าอย่ามาทำกินบนหลังคนเลย ขอให้มีความ เมตตาสงสารผู้คนบ้าง ในเมื่อคนไม่มีแล้ว เสียทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย ไม่เป็นอันกินอันนอนก็อยากขอร้องพวกแก๊งมิจฉาชีพทั้งหลาย หยุดเถอะ อย่ามาทำแบบนี้เลย



ซึ่งที่คุณพ่อโอนไปให้มิจฉาชีพทั้งหมด 22 ล้านบาท และเป็นหนี้ขายฝากบ้านอีก 3.45 ล้านบาท ก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ สอท.เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพราะว่าคุณพ่อก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว ถ้าเกิดเจ็บป่วยก็จะลำบาก ก็ขอรบกวนฝากทาง สอท.ด้วย และก็ฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้เกี่ยวข้อง เพราะในกรณีแบบนี้ทางแบงค์ทั้งหลาย สามารถใช้ระบบ RIP ในการตรวจสอบได้ ถ้าเกิดว่าหากได้ทำการรู้จักลูกค้าโดยดีแล้ว จะสามารถสังเกตได้ว่าจำนวนเงินในบัญชีของลูกค้าเข้า-ออก กับรายได้ของลูกค้ามีความแตกต่างกันมาก เพราะฉนั้นทางธนาคารจะใช่ระบบ IT เพื่อตรวจจับความผิดพลาดหรือตั้งข้อสักเกตุว่ามีเงิน เข้า-ออก เป็น 10 เท่าของรายได้ น่าจะทำการหยุดธุรกรรมไว้ จนกว่าทางเจ้าของบัญชีจะมาแจ้งอีกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันให้ทางลูกค้า ไม่ให้เจ้าของบัญชีสูญเสียเงิน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องควรหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ มิเช่นนั้นก็จะมีประชาชนคนสุจริตที่ทำงานเก็บเงินมาช่วยชีวิต ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกไม่มีวันสิ้นสุด

คุณอาจสนใจ

Related News