สังคม

‘พริกขี้หนู’ แพงสุดในประวัติศาสตร์ โลละ 400 บ. บ่นกันระนาวทั้งคนขายคนซื้อ

โดย JitrarutP

23 พ.ค. 2567

170 views

แพงสุดในประวัติศาสตร์ “พริกขี้หนู” พุ่งกิโลละ 400 บาท ลูกค้าบ่นแพงมากลดปริมาณการซื้อลง ขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหารบ่นอุบ แพงทุกอย่าง ต้องปรับเมนูและวัตถุดิบไม่ให้เสียลูกค้า

วันนี้ (23 พฤษภาคม 2567) ที่ตลาดสดบางลำภู ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาพริกขี้หนู ภายหลังมีการปรับราคาขึ้นสูงสุดมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการสำรวจราคาพริกขี้หนูจากพ่อค้าแม่ค้าในแต่ละร้านพบว่า ราคาพริกขี้หนูอยู่ที่ กก.ละ 350 บาท – 400 บาท



จากการสอบถาม น.ส.มลรินทร์ ภูสีน้ำ อายุ 37 ปี แม่ค้าขายผักสดที่ร้านแม่เพ็ญผัดสด เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ราคาพริกขี้หนูในปีนี้ถือว่าแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาขึ้นจากปกติในช่วงเดียวกันถึงสองเท่า โดยราคาพริกขี้หนูตอนนี้อยู่ที่ กก.ละ 350 บาท แบบยังไม่เด็ดขั้ว แต่หากเด็ดขั้วออกจะขายอู่ที่ราคา กก.ละ 400 บาท และแบ่งขายเป็นขีด ราคาขีดละ 40 บาท สวนผักอื่นๆ ก็มีการปรับขึ้นเช่นกันแต่พริกขี้หนูตั้งแต่ขายมาปีนี้ถือว่าแพงที่สุดเท่าที่เคยเห็น ส่วนหนึ่งคงขึ้นอยู่กับกลไกตลาดและค่าขนส่ง รวมทั้งสภาพอากาศซึ่งช่วงที่ผ่านมาสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้พริกขี้หนูไม่ค่อยออกผลผลิต ทำให้ขาดแคลน แต่ช่วงนี้มีฝนตกลงมาเชื่อว่าราคาจะค่อยๆ ปรับลงตามลำดับ ส่วนพริกอื่นๆ นั้น ราคาปรับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่จะมีเฉพาะพริกขี้หนูสวนที่ราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เคยขายมา ทำให้บรรยากาศการซื้อขายพริกและผักต่างๆ ลูกค้ามีการปรับเปลี่ยนซื้อน้อยลงและบ่นว่าแพงมาก



ด้าน น.ส.ณัฐศิมา แก้วอ่อน อายุ 52 ปี เจ้าของร้านอาหารใต้ ลองแลต่ะ ซึ่งเดินทางมาซื้อวัตถุดิบสำหรับไปทำอาหาร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้ทั้งพริกและผักต่างๆ ปรับราคาขึ้นสูงจนแทบจะจับต้องไม่ได้ บางชนิดซื้อไปก็แทบไม่ได้กำไร ส่วนตัวพยายามปรับเปลี่ยนวัตถุดิบแต่คงคุณภาพและราคาเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้เสียลูกค้าไป จากเดิมที่เคยซื้อเยอะ สต็อกของจองไว้เยอะๆ ก็จะลดลงเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ จากหลักหมื่นเป็นหลักพัน เพื่อให้เงินไม่จมจะได้มีเงินหมุนเวียนในแต่ละวัน และจะบอกลูกค้าว่าวัตถุดิบแพงก็จะไม่ใส่ อย่างเช่นพะแนง ก็ไม่ใส่มะเขือพวงที่ราคา กก.ละ 2,000 บาท เมื่อราคาลดลงจึงจะนำมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร แต่คุณภาพและราคาจะไม่มีการปรับแต่อย่างใด เพื่อรักษาลูกค้าเอาไว้ เมื่อลูกค้าอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ ส่วนสาเหตุที่บอกว่ามาจากภาวะเศรษฐกิจนั้นส่วนตัวไม่เชื่อ



แต่คาดว่าจะเป็นเพราะการขนส่ง เพราะรับของมาจาก จ.เพชรบูรณ์ แล้วลงของที่ กทม.ก่อนจะกระจายให้กับพ่อค้าแม่ค้ามาขายในแต่ละจังหวัด แทนที่จะขนส่งจากต้นทางไปยังจังหวัดนั้นเลยเพื่อลดราคาเชื้อเพลิงในการขนส่งลง เพราะผลิตผลต่างๆ ในพื้นที่การผลิตราคาไม่กี่บาท พอผ่านพ่อค้าคนกลางก็มีการปรับราคาขึ้นแล้วจึงมาถึงมือผู้ประกำอบการรายย่อยและผู้บริโภค ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นจนแทบจับต้องไม่ได้ ตอนนี้ทำได้เพียงถูไถไปให้ตัวเองมีอาชีพอยู่รอดเท่านั้น

คุณอาจสนใจ