สังคม

ปิดไฟ ปิดประตูหนี! 18 ต่างด้าว ถูกบุกจับ ขายของหน้าร้าน กลางห้างดัง

โดย thichaphat_d

14 ก.ย. 2566

1K views

เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2566 เจ้าหน้าที่ สตม.ได้ตรวจสอบระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

โดยลงตรวจสอบที่ศูนย์การค้าย่านถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร สามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวได้ 18 ราย เป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้งหมด โดยจับกุมได้ที่ชั้น 4 จำนวน 4 ร้าน ชั้น 3 จำนวน 5 ร้าน และบริเวณชั้น 2 จำนวน 1 ร้าน ร้านค้าส่วนมากเป็นร้านขายกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เคสโทรศัพท์ บางรายเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจได้พยายามปิดไฟ และดึงประตูบานม้วนเตรียมปิดร้าน



อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาทำงานโดย ไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่จนกระทำได้ (ขายของหน้าร้าน) จำนวน 15 คน

ข้อหาหลบหนีเข้าเมืองและทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ์จำนวน 2 คน

และข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดและทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ์ จำนวน 1 คน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อนึ่ง งานขายของหน้าร้านนั้น เป็นงานต้องห้าม ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงแรงงาน ลงวันที่ 1 เม.ย.2563 เรื่องกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (บัญชี4) ซึ่งการที่ผู้ใดจะจ้างบุคคลต่างด้าวมาทำงานดังกล่าวได้ นายจ้างจะต้องต้องเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนพาณิชย์ ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ หรือในกรณีเป็นร้านค้าที่ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ให้นายจ้างแสดงใบอนุญาต หนังสือรับรอง หรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ เพื่อประกอบพาณิชยกิจ และนายจ้างต้องรับคนต่างด้าวทำงานขายของหน้าร้านตามหลักสัดส่วน สูงสุดไม่เกิน 20 คน ซึ่งพิจารณาจากหลักเกณฑ์การชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในรอบปีภาษีที่ผ่านมา



ยกตัวอย่างเช่นกรณีที่รอบปีภาษีที่ผ่านมา ได้ยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้และได้รับยกเว้นการเรียกเก็บภาษีเงินได้ สามารถรับคนต่างด้าวทำงานขายของหน้าร้านได้ 1 คน กรณีที่ชำระภาษีเงินได้ตั้งแต่ 1-50,000 บาท สามารถรับคนต่างด้าวทำงานขายของหน้าร้านได้ 3 คน ในกรณีที่ชำระภาษีเงินได้เกินกว่า 50,000 บาท บาท จ้างคนต่างด้าวทำงานขายของหน้าร้านเพิ่มได้ 1 คน ทุก ๆ 50,000 ทั้งนี้ ไม่เกิน 10 คน

และหากต้องการรับคนต่างด้าวเข้าทำงานเกินกว่า 10 คน ให้นำสัดส่วนการจ้างงานคนไทยมาใช้พิจารณา คือ นายจ้างที่มีลูกจ้างคนไทย 30 คน สามารถรับคนต่างด้าวเข้าทำงานเพิ่ม ได้ 1 คน และถ้ามีการจ้างคนไทยเพิ่มทุก ๆ 10 คน ให้รับคนต่างด้าวได้อีก 1 คน ซึ่งรวมทั้ง 2 หลักเกณฑ์แล้วนายจ้าง จะสามารถรับคนต่างเข้าทำงานขายของหน้าร้านได้ไม่เกิน 20 คนส่วนการรับคนต่างด้าวเข้าทำงานกรรมกรประเภทอื่นๆ นั้น กฎหมายมิได้กำหนดเรื่องสัดส่วนจำนวนคนต่างด้าว ที่จะรับคนต่างด้าวเข้าทำงานไว้ แต่คนต่างด้าวจะมีสิทธิทำงานกรรมกรและงานขายของหน้าร้านได้ ก็ต่อเมื่อในใบอนุญาตทำงานระบุสิทธิว่า สามารถทำงานกรรมกรหรืองานขายของหน้าร้านได้เท่านั้น



ทั้งนี้ หากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว คนต่างด้าวและนายจ้างจะมีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยคนต่างด้าวจะมีความผิดตามมาตรา 8 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และเมื่อได้ชำระค่าปรับแล้ว ให้ส่งคนต่างด้าวผู้นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร



ส่วนนายจ้างจะมีความผิดตามมาตรา 9 สำหรับการกระทำความผิดครั้งแรก ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน และหากเป็นการกระทำความผิดครั้งที่ 2 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามผู้นั้นจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันที่ศาล มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ    

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th

คุณอาจสนใจ

Related News