สังคม

จ่อสอบ 'รอง ผบช.น.-รองผู้การ191' ปมรีดทรัพย์จีนเทา

โดย panwilai_c

20 ม.ค. 2566

95 views

เรื่องจีนเทายังมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ทั้งคดีตู้ห่าว เเละคดีตำรวจ 191 เเละเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมกันรีดทรัพย์แก๊งจีนเทาที่เข้าไปทำหนังสือเดินทางปลอม ภายในบ้านอดีตบ้านพักกงสุลนาอูรู ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดว่า เงินของกลางอีกกว่า 9 ล้าน 5 เเสนบาท ที่ถูกยักยอกไป อยู่ที่ไหนกันเเน่ ล่าสุด สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ เตรียมสอบสวนผู้บังคับบัญชาของตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้



พลตำรวจตรีอาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้า คดีที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และตำรวจ 191 เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู และเรียกเอาทรัพย์จากผู้ต้องหาชาวต่างชาติ จำนวนกว่า 9 ล้าน 5 เเสนบาท เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่ผ่านมา



โดยในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรงกับตำรวจ 191 จำนวน 9 นาย นอกจากนั้นยังเตรียมสอบสวนผู้บังคับบัญชาเหนือไป 2 ระดับ รวมทั้งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บังคับการตำรวจ 191 ซึ่งกำกับการทำงานของนายตำรวจที่กระทำผิด ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีคำสั่งให้ไปปฏิบัติการอย่างไร



หากผลการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีการกระทำผิดของตำรวจนายใด จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น ยืนยันว่าโปร่งใสตรวจสอบได้



สำหรับความคืบหน้าทางคดี ขณะนี้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ได้เรียกพยานมาให้ปากคำทั้งหมดแล้ว ส่วนเงินที่หายไป อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าอยู่ที่ใด ซึ่งคาดว่าตรวจสอบไม่ยาก ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จากนั้นจะแถลงความคืบหน้าให้สังคมได้รับทราบอีกครั้ง



ส่วนความคืบหน้าคดีตู้ห่าว โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พูดถึงกรณีหนึ่งในผู้ต้องหาที่เป็นภรรยาของตู้ห่าว ยศพันตำรวจเอกหญิง ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฝากขัง ถือเป็นดุลพินิจของศาลในการพิจารณา เนื่องจากเห็นว่ามีอาชีพ มีที่อยู่อาศัยชัดเจน และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่หากพบว่าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทางคณะพนักงานสอบสวนก็มีสิทธิ์เพิกถอนประกันได้ หรือหากประชาชนมีหลักฐานชัดเจนว่าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ก็สามารถนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวนพิจารณาได้



จากประเด็นนี้ ทำให้ช่วงเย็นที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวที่โรงแรมเดวิด และต่อสายถึงพยานบุคคลปากเอก เพื่อให้ยืนยันว่า ขณะนี้บางคน พยายามยื่นข้อเสนอให้ถอนตัวจากการเป็นพยาน ซึ่งพยานคนนี้เป็น 1 ใน 400 คน ที่ให้การเป็นพยานกับอัยการ โดยระบุว่า เขาได้ไปให้การกับอัยการสูงสุด และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไร จึงติดต่อมายื่นข้อเสนอขอให้ถอนตัว แต่ยังไม่ได้เสนอเป็นตัวเลขมา



นายชูวิทย์ บอกว่า คดีนี้ ต่อสู่กันอย่างน้อย 2 ปี เพราะกว่าจะสอบพยาน 400 ปากเสร็จ พยานบางคนที่ได้ประกันตัวอาจจะไปเคลื่อนไหวเพื่อให้พยานกลับคำ หรือไม่เข้าให้ปากคำ ซึ่งขณะนี้มีพยานอย่างน้อย 2 คนที่ถูกโน้มน้าว คนแรกเป็นคนทำหน้าที่ถอนเงินออกจากบัญชี อีกคนเป็นพยานของโรงแรม ซึ่งทั้งคู่อยู่ในความดูแลของตำรวจ ส่วนอีกคนถูกข่มขู่จนตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว



นาย ชูวิทย์ ตั้งข้อสังเกตว่าขบวนการนี้ น่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐให้การสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีไม่โปร่งใส และแต่ละขั้นตอนกว่าจะถึงปลายทางการพิพากษา ต้องใช้เวลายาวนาน เจ้าหน้าที่ที่เคยดูแลคดี ดูแลสำนวนก็เปลี่ยนหน้าไปทุกปี เพราะหมดวาระ หรือแต่งตั้งโยกย้ายไปที่อื่น ทำให้พยานหลักฐานเสียหาย หรือเปลี่ยนแปลง และอาจจะเป็นช่องว่างที่ทำให้จำเลยมีโอกาสในการต่อสู้หรือโน้มน้าวพยาน จึงอยากให้มีการไต่สวนพยานล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะในอนาคตพยานเกิดหายตัว หรือได้รับการเสนอเงินอาจจะเปลี่ยนใจได้



นายชูวิทย์ย้ำด้วยว่า หลังจากนี้จะไปฟังการพิจารณาคดีทุกนัด เพื่อให้รู้ว่าการต่อสู้ของประชาชนที่แท้จริง แบบไม่มีเงื่อนไขหรือผลประโยชน์ใดแอบแฝง สุดท้ายจะจบลงเเบบใด

คุณอาจสนใจ

Related News