สังคม
องค์การเภสัชฯ จ่อเพิ่มกำลังผลิต "ยาฟาวิพิราเวียร์" เดือนละ 40 ล้านเม็ด
โดย pattraporn_a
2 ส.ค. 2564
52 views
จำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้หลายโรงพยาบาลแสดงความกังวลถึง ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่นำมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาจไม่เพียงพอ ในอีก 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ จากกำลังการผลิตและการนำเข้าที่ยังน้อยกว่าจำนวนการใช้ในแต่ละวัน
เฟซบุ๊กโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความส่วนหนึ่ง ที่แสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ใกล้แตะ 20,000 คนต่อวัน และมีแนวโน้มจะอยู่ในลักษณะนี้ไปอีก 1-2 สัปดาห์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรักษา
ก่อนหน้านี้ สภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์เตือนถึงศักยภาพการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ของไทยที่อาจไม่เพียงพอ แม้องค์การเภสัชกรรมจะผลิตได้เดือนละ 23 ล้านเม็ดก็ตาม
หากพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยใหม่ที่พุ่งสูง และนโยบายที่ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาอย่างรวดเร็วของกระทรวงสาธารณสุข เท่ากับว่าใน 1 วัน ต้องใช้ยาวันละ 1 ล้านเม็ด เนื่องจากผู้ป่วย 1 คนใช้ยาโดสละ 50 เม็ด ดังนั้นภายในสัปดาห์นี้ยาฟาวิพิราเวียร์ อาจขาดแคลนอย่างแน่นอน หากไม่มีการสนับสนุนด้านการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เพิ่มเติม
โดยโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ระบุว่า ไม่เช่นนั้นประมาณกลางเดือนสิงหาคม หรืออีก 2 สัปดาห์ ไทยจะประสบปัญหา ยารักษาโควิด-19 ขาดแคลน พร้อมกับจำนวนวัคซีน และ เตียงรักษา
ขณะที่แผนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ในปัจจุบัน องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาแบบบรรจุแผงได้เดือนละ 2.5 ล้านแสน โดยมีแผนขยายการผลิตเป็นแบบบรรจุขวดเพิ่ม 23 ล้านเม็ดต่อเดือน ในเดือนกันยายน และเพิ่มเป็นมากกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน ในเดือนตุลาคม
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ยืนยัน องค์การเภสัชฯ มีการบริหารจัดการ และปรับการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้สำรองยาอย่างน้อย 43 ล้านเม็ดในเดือนสิงหาคม
ปัจจุบันไทยมีแหล่งผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ 2 แห่ง ที่ดูแลโดย องค์การเภสัชกรรม คือ โรงงานที่ถนนพระราม 6 และ โรงงานผลิตยาขององค์การเภสัชกรรมเองที่คลอง 10 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หากองค์การเภสัชเปิดสายการผลิตที่ 5 ได้ในเดือนกันยายน ก็จะมีศักยภาพการผลิตยาได้ถึง 2,000 ล้านเม็ดต่อปี หรือเดือนละไม่น้อยกว่า 160 ล้านเม็ดต่อเดือน
โดย ยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งหมด จะถูกจัดสรรให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้จัดส่งให้โรงพยาบาลต่อไป