เลือกตั้งและการเมือง

ครม.เคาะงบกว่า 5 พันล้าน กลาโหมหนุนภารกิจเหล่าทัพ ปกป้องอธิปไตยไทย

6 ชั่วโมงที่แล้ว

53 views

ครม.อนุมัติงบกลางเกือบ 9 พันล้านบาท จัดการเลือกตั้ง สส. และออกเสียงประชามติ - ทุ่ม 5,050 ล้านบาท ให้กลาโหมสนับสนุนภารกิจเหล่าทัพปกป้องอธิปไตยไทย พร้อมให้ ทบ.อีก 206 ล.จัดหายุทธภัณฑ์ เสริมศักยภาพกำลังพล

วันที่ 23 ธ.ค.2568  นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการในห้องประชุม ครม. โดยนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ถือว่ายังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ และมีประชาชนจำนวนมากที่อพยพไปยังศูนย์อพยพต่าง ๆ รวมทั้งเงินเยียวยาที่ยังไปไม่ถึงประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดต่อที่ประชุม ครม.

นายกรัฐมนตรีให้ข้อสังเกตว่าแต่ละศูนย์พักพิงฯ มีประชาชนไปอยู่อาศัยโดยให้ ปภ.นำข้อมูลผู้อพยพมาขึ้นทะเบียนได้ โดยไม่ต้องทำเอกสารตามระเบียบให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยวันนี้ มติ ครม. รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยให้ ปภ.บูรณาการข้อมูล เพื่อให้ง่ายต่อการเยียวยา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังพูดถึงภาพรวมของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางไหน และเมื่อไหร่ ซึ่งได้รับทราบว่า กระทรวงกลาโหมจะเริ่มมีการเจรจากับกัมพูชาตั้งแต่ 24 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยไทยยังคงยึดถือแนวทาง คือ กัมพูชาจะต้องมีการแสดงความเสียใจ ขอโทษ กับสิ่งที่กัมพูชาดำเนินการไป หากจะกลับไปสู่ปฏิญญามาเลเซียก็ต้องเป็นเรื่องของการมาคุยกัน จุดที่ต้องถอนกำลังมาใหม่ และยังไม่ชัดเจนว่า 24 ธันวาคมนี้จะจบหรือไม่ เพราะความเห็นของไทยและกัมพูชาไม่ตรงกัน

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังพูดถึงเรื่องการบรรจุทายาทของกำลังพลที่เสียชีวิตให้เข้ามารับราชการ ที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการบรรจุตำแหน่งของกองทัพบก ซึ่งไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา หรือไม่อยู่ในภูมิลำเนาตามที่กำหนด โดยได้มอบหมายให้ สำนักงานกพ. ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าสามารถปรับระเบียบต่าง ๆ ให้ยืดหยุ่น เพื่อสามารถบรรจุทายาทของข้าราชการ กำลังพลที่เสียชีวิตสามารถรับราชการได้

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในการสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉิน สำหรับค่าใช้จ่ายโครงการรถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอ็กซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 คัน ขณะนี้มีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในภาคเหนือจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่าอุปกรณ์ในการตรวจสอบมีไม่เพียงพอ จึงขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน 846 ล้านบาท เพื่อเป็นไปตามระเบียบของราชการอย่างครบถ้วน รอบคอบ และให้สำนักงบประมาณไปตรวจสอบราคาอีกครั้ง พร้อมนำเรื่องนี้เสนอต่อ กกต.ทราบ เพื่อให้มีความเห็นตามรัฐธรรมนูญ ม.169 (3) เพราะมีการยุบสภาแล้ว

พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติงบกลาง เพื่อใช้ใช้จ่ายในการเลือกตั้ง สส. และการออกเสียงประชามติในวันเดียวกัน โดยเป็นงบสำหรับการเลือกตั้ง 6,750 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับการออกเสียงประชามติ 525 ล้านบาท พร้อมค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่ 1,700 ล้านบาท รวม 8,978 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณดูรายละเอียดร่วมกับ กกต. ใช้จ่ายประหยัดที่สุด

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้สนับสนุนงบกลาง สำหรับกองทัพบกในการจัดหายุทธภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพของกำลังพล อีก 206 ล้านบาท โดยรายละเอียดอยู่ในชั้นความลับ

ขณะเดียวกันยังเห็นชอบงบกลาง เพื่อสนับสนุนกระทรวงกลาโหม โดยผ่านกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพิ่มอีก 5,050 ล้านบาท รายละเอียดอยู่ในชั้นความลับเช่นกัน

นอกจากนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ขอมติ ครม.ในการทบทวนมติ ครม. เมื่อ 5 สิงหาคม 2568 เนื่องจากมติ ครม.ดังกล่าว มีการกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผลตั้งแต่ 16 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2568 ซึ่งมติ ครม. ครั้งนั้น ทำให้ผู้ที่ประสบเหตุหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ไปเหยียบกับระเบิด หรือกรณีมีการปะทะกันหลังจากวันนั้น ผู้ที่ประสบเหตุจะไม่เข้าหลักเกณฑ์เลย ดังนั้น สมช. จึงขอปรับมติ ครม.ใหม่ โดยใช้กรอบวงเงินเดิมจากวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ไปจนกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยหลักเกณฑ์การเยียวยาเป็นเช่นเดิมทุกประการ

ขณะที่ ปภ.ได้ขออนุมัติ ครม.ในการปรับปรุงระเบียบการดำเนินการของประชาชนที่ลงทะเบียน เพื่อจะขอรับเงินเยียวยา เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการของประชาชน จากเดิมประชาชนที่จะลงทะเบียนเป็นผู้อพยพ ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ที่ประสบสาธารณภัย ให้เปลี่ยนเป็น ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจากผู้นำชุมชน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง (ไม่ต้องมีการทำประชาคม) เพื่อให้เกิดความสะดวกและสอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม หลังจบสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะมีการปูนบำเหน็จให้กับทหารแนวหน้าหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะเป็นแนวทางของรัฐบาลอยู่แล้ว ปัจจุบันอาจจะเร็วเกินไปหากไปพูด ขวัญกำลังใจและการปูนบำเหน็จ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย แต่สิ่งที่รัฐบาลทำได้ตอนนี้คือการสนับสนุนตามคำขอของฝ่ายความมั่นคง ที่จะสามารถดำเนินการได้ พร้อมย้ำว่าการปูนบำเหน็จ กำลังพลและข้าราชการพลเรือน จะมีการพูดคุยในโอกาสต่อไป

คุณอาจสนใจ

Related News