เลือกตั้งและการเมือง

"บิ๊กโจ๊ก" ฟาดแรง "นายกฯ ใจดำ" กดตัวเลขผู้เสียชีวิตต่ำ เลี่ยงเยียวยา-กลัวถูกตั้งฉายานายกฯ 1,000 ศพ

1 ธ.ค. 2568

46 views

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาให้ทัศนะเกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า ปัญหาใหญ่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ความเสียหายที่เห็นต่อหน้า แต่คือข้อมูลไม่ตรงกันระหว่างสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่สะท้อนกับข้อมูลที่รัฐบาลประกาศ ซึ่งจากการที่ตนลงพื้นที่เองและพูดคุยกับผู้นำชุมชนหลายแห่ง ทำให้ประเมินว่า จำนวนผู้เสียชีวิต “เกิน 1,000 ราย” เพราะยังมีอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้นำศพออกมา

แต่ตัวเลขภาครัฐกลับสวนทาง เพราะมีการ “กดข้อมูล” ปกปิดจำนวนตัวเลข และแบ่งแยกศพว่าไหนเสียชีวิตนอกโรงพยาบาล ศพไหนเสียชีวิตในโรงพยาบาล เพื่อให้จำนวนผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวกับน้ำท่วมลดลง ทั้งที่หลายศพมีต้นเหตุชัดเจนว่ามาจากน้ำท่วม เช่น ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายราย โดยเฉพาะคนฟอกไต ก็ไม่สามารถรักษาได้ เพราะโรงพยาบาลไฟดับ จึงทำให้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล หรือบางรายถูกไฟช็อตจนหัวใจเต้นอ่อน ก่อนจะเสียชีวิตหลังเข้ารักษา ซึ่งหากแพทย์ลงสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากไตวายหรือขาดอากาศหายใจ ก็จะตีความว่าไม่ใช่เสียชีวิตจากน้ำท่วม จะทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตหมดสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา 2 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลประกาศเอาไว้

จึงมองว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่ควรเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ รวมทั้งขอตำหนิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าในฐานะผู้นำประเทศควรเข้าใจความลำบากของประชาชนมากกว่านี้ "วันนี้ถือว่าท่านใจดำมาก" เพราะภาพรวมการบริหารจัดการรัฐในพื้นที่ตอนนี้อยู่ในสภาพที่แย่มาก ถ้านายกรัฐมนตรี มาลงพื้นที่ จะได้กลิ่นศพว่าแรงขนาดไหน การมาแบ่งแยกรายละเอียดเพื่อไม่ต้องนับว่าเป็นผู้ตายจากน้ำท่วม มันไม่ถูกต้อง คนก็คือคน จะสัญชาติไหนก็เป็นชีวิตเหมือนกัน หลายศพเป็นแรงงานต่างด้าวไม่มีญาติ ไม่มีใครแจ้งหาย แล้วสุดท้ายจะไม่นับเป็นหนึ่งชีวิตหรืออย่างไร

ตอนนี้รัฐบาลกำลังกดตัวเลขผู้เสียชีวิต เพราะไม่อยากใช้งบประมาณที่สูงในการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาศพละ 2 ล้านบาท รัฐอาจมองว่าหัดนับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งอาจเกินพันราย อาจจะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 2 พันล้านกว่าบาท

แต่ก็ยังไม่เท่ากับผลกระทบต่อสถานะทางการเมือง อีกเหตุผลของการกดตัวเลขผู้เสียชีวิตของรัฐบาลนั้น ก็เพื่อ "เหตุผลทางการเมือง" เพราะหากยอมรับว่ามีผู้ตายทะลุ 1,000 ราย ก็จะกระทบโดยตรงกับภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนคาดว่านายกรัฐมนตรี ไม่อยากถูกตั้งฉายาว่า "นายก 1,000 ศพ" ในมุมมองข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ "ตนรู้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่" และย้ำว่าตัวเลขคือเรื่องการเมืองล้วน ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ต่อให้ไม่อยากรับ ก็ต้องรับ เพราะคือข้อเท็จจริง พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดข้อมูลตามจริงและขอโทษประชาชน เพราะถ้านายกรัฐมนตรีไม่พูดเอง ก็จะไม่มีใครกล้าเปิดข้อมูล เพราะทุกคนกลัวตำแหน่งของตัวเอง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้เสนอแนะว่า ตอนนี้ต้องเร่งระดมเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน และกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจศพให้ละเอียดร่วมกับแพทย์นิติเวช ก่อนดำเนินการคืนศพให้ญาติอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจัดหาที่เผาศพฟรี เพราะจำนวนร่างมีมาก จนพื้นที่จัดการไม่ทัน พร้อมบอกว่า ตอนนี้ตนเองเตรียมถุงซิปบรรจุศพไว้ 300 ชุด เพื่อนำไปแจกมูลนิธิต่าง ๆ เพราะแม้แต่ถุงซิปใส่ศพภาครัฐยังต้องเปิดรับบริจาค ทั้งที่ควรเป็นหน้าที่รัฐในการจัดหางบประมาณมาซื้อถุงซิปใส่ศพ

สถานการณ์ตอนนี้ที่มีแต่ศพผู้เสียชีวิตและซากความเสียหายของบ้านเมือง แต่ขาดการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเยียวยาที่ดีจากรัฐบาล จึงเปรียบเสมือน "รัฐล้มเหลวเต็มรูปแบบ"

ยอมรับว่านายกรัฐมนตรี ตอบสนองปัญหาเร็ว แต่แก้ปัญหาไม่ถูกจุดและระบบการจัดการยังขาดประสิทธิภาพอย่างมาก ยังมีประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก หลายคนเพิ่งได้รับอาหารมื้อแรกจากการที่ตนเองลงพื้นที่หลังผ่านเหตุการณ์มาแล้วกว่า 4 วันด้วยซ้ำ จึงแนะนำว่า นายกรัฐมนตรีควรไปบัญชาการด้วยตัวเองที่กรุงเทพมหานคร แทนการลงพื้นที่ที่สร้างความวุ่นวายให้เจ้าหน้าที่และทำเป็นพูดขอโทษประชาชนแบบขอไปที รวมทั้งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับไปใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่มีความชัดเจนกว่าและเหมาะกับสถานการณ์นี้มากกว่า ที่สำคัญคือบริหารงานบุคคลให้เป็น ไม่ใช่ตั้งบุคคลมาบริหารงานซ้ำซ้อนและแก้ปัญหาไม่ถูกจุด

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นแชต ที่ นายอนุทิน กล่าวติดตลกกรณีถุงซิปใส่ศพนั้น  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่า เรื่องนี้ตนคงบังคับให้นายกรัฐมนตรีมารับผิดชอบไม่ได้ แต่ท่านควรต้องมีจิตสำนึกแยกแยะสถานการณ์ ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่จะติดตลกได้

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังพูดถึงปัญหาความปลอดภัยในพื้นที่ด้วยว่า ตอนนี้ตำรวจก็เดือดร้อนไม่ต่างกัน เพราะหลายคนเป็นผู้ประสบภัยเอง กำลังไม่เพียงพอ ตำรวจหลายนายต้องทำงานกันจนเช้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อย รวมถึงการช่วยฟื้นฟูเมือง จึงไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไม่เกณฑ์ตำรวจจากนอกพื้นที่มาช่วย เพราะตำรวจในพื้นที่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว

สำหรับประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า พื้นที่เขต 8 ในตัวเมืองหาดใหญ่ เปรียบเสมือนเป็นแหล่งอาชญากรรมขนาดใหญ่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าไม่เป็นความจริง สมัยที่ตนเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผกก.สภ.หาดใหญ่ ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่อาจจะมีอาชญากรรมเล็กน้อยบ้างเหมือนหลาย ๆ เมืองทั่วไป แต่ไม่ถึงขนาดมีแก๊งมาเฟีย หรือพื้นที่กลุ่มอิทธิพล ยอมรับว่าเขต 8 มีผู้มาอาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยมาพักอาศัย ในอดีตเคยมีผับบาร์เปิดให้บริการ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจซบเซา จึงทยอยปิดตัวลงไป ตอนนี้พื้นที่เขต 8 ถือว่าเป็นพื้นที่ที่ลำบากมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีตอกซอกซอยเป็นจำนวนมากและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เนื่องจากส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่บ้านชั้นเดียว

ส่วนกรณียิงปืนไล่กู้ภัยในเขต 8 ช่วงที่ผ่านมา จากการที่ตนเองลงพื้นที่ตรวจสอบเอง พบว่าในวันเกิดเหตุ คนยิงปืนเป็นลูกจ้างเฝ้าโกดังข้าวมูลค่าสูง เผอิญว่าได้ยินเสียงเหมือนคนพยายามเปิดประตู จึงยิงขึ้นฟ้าขู่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเรือเจ็ตสกีของกู้ภัยขับในระยะประมาณ 100-200 เมตร เลยได้ยินเสียงและเข้าใจว่าถูกไล่ยิง ถึงชี้แจงว่าไม่ใช่เหตุอาชญากรรมใหญ่ที่เข้าใจกัน ส่วนประเด็นที่กล่าวอ้างว่าพบสิ่งลอยน้ำคล้ายยาเสพติดในพื้นที่เขต 8 นั้น ระบุว่าตรวจสอบแล้ว ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

คุณอาจสนใจ

Related News